การแผ่เมตตา

หมวดหมู่ของบล็อก: 

ผมมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับสมาชิกบ้านสวนฯหลายคน มักจะได้รับคำถามเกี่ยวกับการทำบุญทำทานเป็นประจำจึงขอนำเกร็ดและประสบการณ์ตรงมาเล่าสู่กันฟัง อย่าเชื่อ อย่าคล้อยตาม แต่ยินดีถ้าท่านจะลองปฏิบัติตาม เห็นว่าดีก็ทำต่อไป เห็นว่าไร้สาระก็เลิกทำ

จาก "ศีล สมาธิ ปัญญา" ซึ่งเป็นกิจของสงฆ์แล้ว

"ทาน ศีล ภาวนา" นั้นถือว่าเป็นกิจของฆราวาสที่ควรหมั่นบำเพ็ญให้สม่ำเสมอ การภาวนานั้นอาจจะดูป็นเรื่องที่ห่างไกลจากวงจรชีวิตของคนทำงานในยุคปัจจุบันผมจึงขอยกไว้ก่อน

ส่วนเรื่องศีลผมขอใช้คำง่ายๆว่า "การรู้จักสำรวมและระวังที่จะไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น โดยทางกาย วาจาและใจนั้น ถือว่าเป็นการรักษาศีลที่ดีแล้วครับ" ผมเองนั้นช่วงปฏิบัติธรรมจะถือศีลเพียงข้อเดียวคืออินทรีย์สังวรณ์ศีล

ส่วนเรื่องทานนั้นผมจะยึดหลักว่า หากทานที่จะทำนั้นได้มาแล้วโดยสุจริต ตั้งจิตใจดีตั้งแต่ก่อนทำ ขณะทำ และหลังจากทำ ย่อมได้บุญกุศลมาก

ทานนั้นหากเกิดจากจิตใจที่เปี่ยมล้นด้วยความเมตตา (ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข) กลายเป็นความกรุณา (ช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์) โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆย่อมได้บุญกุศลมาก เวลาถวายทานหรือทำบุญผมเลยมักจะตั้งจิตอธิษฐานว่า "สุทินฺนํ วต เม ทานํ อาสวกฺขยาวหํ นิพฺพานปัจฺจโย โหตุ" เพื่อลดเหตุแห่งความปรารถนาใดๆลงไปให้มากที่สุด

แล้วก็มาถึงส่วนที่สำคัญและมีคนถามมากที่สุด คือเรื่องการแผ่ส่วนกุศลหรือแผ่เมตตา โดยความเห็นส่วนตัวในแนวนักบริหาร นักธุรกิจ ผมขอเปรียบเทียบการทำบุญว่าเป็นการหาเบี้ยกุศลใส่กระเป๋า ทำบุญด้วยสิ่งของมูลค่าน้อยหรือมากไม่ได้เป็นปัจจัยในกุศลที่เกิดขึ้น จิตที่ดีจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุด ทำบุญเพียงยี่สิบบาทสบทบทุนสร้างศาลาเพื่อขจัดกิเลสความโลภในใจ เพื่อให้ผู้คนทั่วไปที่มาทำบุญได้อาศัยร่มเงาภายใต้ชายคา มีที่สัปปายะเพื่อฟังธรรม และปฏิบัติธรรม ย่อมได้กุศลมากกว่าทำบุญหนึ่งแสนบาทเพียงเพื่อให้มีชื่อสลักอยู่เหนือประตูทางเข้า

ทุกครั้งที่มีการทำบุญพระสงฆ์ท่านมักจะสวดมนต์ให้พรและมีการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ซึ่งเป็นอุบายในการน้อมนำให้เกิดสมาธิแล้วแผ่เมตตาออกไป สำหรับส่วนตัวผมนั้นจะใช้วิธีเช็คบุญในกระเป๋าโดยการน้อมรำลึกถึงบุญกุศลใดๆที่ได้เคยกระทำมา ให้เกิดความปิติยินดีในกุศลนั้นๆ แล้วจึงตั้งจิตแผ่ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีไปยังผู้อื่น หากในขณะนั้นเกิดความรู้สึกปิติมาก (มีเบี้ยกุศลเยอะ) ผมก็จะแผ่เมตตาออกไปโดยไม่มีขอบเขตุไม่มีประมาณ ไปยังสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ในสังสารวัฏทั้งมวล หากมีความรู้สึกปิติน้อย ก็จะแผ่ไปยังเจ้ากรรมนายเวรและผู้มีพระคุณ หากคราใดที่ไม่มีความรู้สึกปิติออกมาเลย (มีนะครับ บางครั้งทำบุญเหมือนไม่ได้กุศลเลย) ก็จะแผ่เมตตาให้บางคน บางท่านโดยเฉพาะเจาะจง

ลองดูนะครับวิธีนี้ เมื่อใดก็ตามที่ท่านมีความรู้สึกปิติ(ยินดีปราโมทย์)กับบุญกุศลใดๆที่ได้กระทำมา เอาจิตไปจับณ.จุดที่มีเวทนาเกิดขึ้น บางคนน้ำตาคลอก็เอาจิตไปจดจ่อที่หัวตา บางคนใจพองโตก็เอาจิตไปไว้ที่ทรวงอก แล้วแผ่เมตตาออกไปทางจุดนั้น จะรู้สึกได้ทันทีครับว่ามีกระแสแห่งความรักความปรารถนาดีพุ่งออกไป ความอิ่มเอิบใจก็จะยิ่งบังเกิดขึ้นมาอีกเป็นทวีคูณ

สุดท้าย ท้ายสุด การทำบุญโดยการโมทนาบุญ หรือมุทิตาจิต เห็นใครทำดีได้ดี ทำบุญกุศลใดๆก็ตาม ให้น้อมจิตเราแสดงความมีส่วนร่วมในบุญกุศลนั้นๆ เราจะได้บุญกุศลด้วยเช่นกัน เวลาผมฟังเรื่องราวในสมัยพุทธกาลถึงการทำบุญผมจะรู้สึกปิติและยินดีไปด้วย ทำให้สามารถโมทนาบุญไปด้วยทุกครั้ง ลองๆปฏิบัติดูกันนะครับพี่น้องคร้าบ

ความเห็น

ขอบคุณค่ะลุงพี จะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องเสียที...............:admire2:

 

 

msn:lekonshore@hotmail.com

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร

"สุทินฺนํ วต เม ทานํ อาสวกฺขยาวหํ นิพฺพานปัจฺจโย โหตุ"   ขอคำสะกด + คำแปล

 

ขอบคุณที่นำมาลงค่ะ เพราะคุยปากเปล่าบางครั้งก็ลืม

 

ปล.สรรพถั่วทั้งหลาย  ที่เคยให้ไว้ออกลูก+ฝักเรียบร้อยแล้วค่ะ  เค้าทนแล้งเหมือนกันนะคะก่อนไปสงกรานต์ เพิ่งออกดอก  ไม่มีคนรดน้ำ  กลับมากลายเป็นฝัก  ให้เก็บกินแล้วค่ะ :cheer3: :cheer3:

ฉันจะปลูก ผัก ให้ลูกทาน

"สุทินนัง วะตะ เม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง นิพพานังปัจจะโย โหตุ"

ขอให้ทานของข้าพเจ้าอันให้ดีแล้วหนอ จงนำมาซึ่งความสิ้นไปแห่งอาสวกิเลสทั้งหลาย จงเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานด้วยเทอญ

พอกิน พอใช้ พอใจ คือความหมายของ พอเพียง

ขอบคุณค่ะ

ฉันจะปลูก ผัก ให้ลูกทาน

:bye: จะลองทำดูบ้างคะลุงพี :bye:

อนุโมทนากับสิ่งดีๆค่ะ ...หากทุกชีวิตใช้ทุกลมหายใจคิดถึงความเมตตา ศีลข้อหนึ่งบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ โลกนี้จะร่มเย็นมากขึ้นเลยนะคะ

ขอบคุณลุงพีมากนะคะ Laughing

สาธุครับ ลุงพี

วันหลังขอแบบนี้อีกนะครับ

ได้หนังสือของลุงพี จากผู้ใหญ่มาเล่มหนึ่งอ่านก่อนนอนทุกคืน( ถ้าอยู่ที่ตรัง)

สิ่งที่ลุงพีบรรยายธรรมมา ผมว่ามันต้องด้วยเหตุด้วยผล ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนที่ไม่ค่อยยึดติดกับอะไร ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม ความเชื่อ แต่อาศัยความรู้สึกของตัวเองที่ผ่านการกรองด้วยความคิดเชิงตรรกะ ผมเห็นด้วยกะลุงพีในเรื่องของการทำบุญหรือทำทานที่เน้นการปฏิบัติและการไม่ยึดติดว่าสิ่งที่ทำจะต้องได้รับการตอบสนองเหมือนการลงทุน ขอเพียงเจตนาที่บริสุทธิไม่จำเป็นต้องมากด้วยจำนวน ไม่จำเป็นต้องยึดถือรูปแบบก็ถือเป็นนวตกุศลที่ยิ่งใหญ่


ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยได้เข้าวัดเข้าวาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ถึงเข้าทำบุญบริจาค ตักบาตรบ้างก็ไม่ค่อยจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล อยากทำบุญก็แวะซื้อข้าวสารสักกระสอบไปให้ที่โรงครัวของวัด บอกพระวัดนั้นว่ามาขอทำบุญแทนการตักบาตรหรือสังฆทานแต่ไม่ต้องทำพิธีใดๆ ครอบครัวผมเน้นการทำทานในโอกาสวิกฤตของสังคมมากกว่าวันตามประเพณี แต่ก็มีบริจาคเป็นรายปีให้กับสภากาชาด ปอเต๊กตึ๊ง เพราะคิดว่าน่าจะส่งผ่านให้กับส่วนขาดของสังคมได้ดีที่สุด


บางคนอาจคิดว่าแล้วจะไม่อุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับหรือเจ้ากรรมนายเวร อุทิศครับแต่ไม่ได้พูดแค่คิดส่งตามเจตนา ผมเชื่อมั่นลึกๆว่า หากบุญกรรมมีจริง ไม่จำเป็นต้องขอหรือใช้รูปแบบพิธีกรรมใดใด บุญกุศลหรือผลกรรมย่อมบังเกิดตามแต่เจตนาและการปฏิบัติที่ได้ทำลงไป


ผมอาจจะรู้น้อย ด้อยในศาสนกิจ แต่ก็อยากศึกษาให้เข้าถึงเคยปรารภกับลุงพีบ่อยๆว่าอยากลองไปศึกษา นั่งวิปัสนา ภาวนาจิต อาจบรรลุถึงแก่นที่ยังเข้าไม่ถึง แต่แฟนเคยบอกว่า คนอย่างผมเป็นคนดื้อรั้น และไม่ศรัทธาอะไรง่ายๆ กลัวไปทำให้พระท่านหรือคนอื่นวุ่นวายเสียมากกว่า ทุกวันนี้..ถามว่าละได้มั๊ย..ละได้มากกว่าเดิมมาก..แต่กิเลสก็ยังมากโขอยู่เพียงแต่พยามไม่ให้เบียดเบียนผู้คนหรือสังคม หากจะเบียดเบียนก็เป็นตัวเราเองเสียมากกว่า..


ขอบคุณลุงพีที่นำบทความดีๆมาให้อ่าน ผมคงต้องศึกษาอีกเยอะเลย มีผู้กล่าวว่า ผู้ใดเมื่อยังไม่สัมผัสทุกข์ ก็อาจยังดื้อรั้นอยู่กับความเชื่อของตัวเอง ผมอาจเป็นประเภทนั้นก็เป็นได้


 

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

เคยถามคนที่ทำบุญแล้วให้เขียนชื่อใว้ที่เสาบ้าง  ผนังบ้าง  ได้คำตอบว่า.....เอาไว้ให้ลูกหลานดูว่าปู่ ย่า ตา ยาย  ได้เคยร่วมสร้างมา  ตั้งแต่นั้นมาเจ้เห็นชื่อที่บริจาคก็จะสาธุในใจทุกครั้ง

หน้า