...นางอายในสายตานักล่า....

หมวดหมู่ของบล็อก: 

 



ผมขลุกอยู่กับตัวเองมานานหลายปี ที่บอกว่า ขลุกอยู่กับตัวเองหมายถึงจ่อมจมอยู่กับความรู้สึกที่ตัวเองเป็น,มีและเกิดขึ้นอยู่เช่นนั้น อย่างนั้น ทุกเมื่อเชื่อวัน เสียงที่พร่ำพูดกับตัวเองเหมือนบทพูดที่ดังก้องออกมาจากข้างใน ไม่ใช่แค่ความคิดแต่เป็นถ้อยคำจริงๆ 



บางวัน เผลอพูดออกเสียงจนตัวเองตกใจ เพราะในหลายขณะ ผมอยู่คนเดียว  และการพูดคนเดียวอาจไม่ใช่ภาวะของคนปรกติที่เขาเป็นและทำกัน 

ใช่ไหม?  

ครับ...ผมอยู่กับในบ้านสวน และไม่สามารถทำกิจกรรมหนักๆ ได้ดั่งเดิม สิ่งที่ตามมาคือหัวใจเริ่มอ่อนล้า ร่างกายไม่แข็งแรงอย่างที่ควรจะเป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่อยู่บ้านสวน ได้ทำงานหนักๆ อย่างที่ตัวเองอยากทำหรือต้องทำ  งานที่เรียกเหงื่อได้ เรียกกล้ามเนื้อได้  

น่าแปลก ขณะที่ผมได้มีโอกาสทำงานแบบนี้กลับพบว่าตัวเองใช้ความรู้สึกประชดประเทียดตัวเองถึงงานการและรายได้ในช่วงเวลานั้นอย่างน่าเกลียด เช่นว่า ทำงานสามวันได้สองร้อย เหมือนกับดูแคลนตัวเลขรายได้ประทังชีพ 

หากทบทวนดูแล้ว สิ่งที่ผมทำในเวลานั้นคือการปูพื้นฐานของการทำงานหนักอื่นๆ ได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเกินไปนั่นเอง -  นั่นนับเป็นคุณค่ายิ่งใหญ่แล้ว สำหรับงานเล็กของคนเล็กๆ อย่างผมในตอนนั้น 

หากแต่วิสัยของคนที่เคยผ่านงานการที่ต้องใช้ความคิด การถ่ายภาพ ข้อมูล เรื่องเล่าและจินตนาการมาบ้างแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตสังการอบตัว กลางวัน กลางคืน รอบบ้าน ในสวน สวนใกล้เคียง เรื่องราวที่แอบซ่อนอยู่ในนั้น น่าสนใจบ้าง ธรรมดาบ้าง 

 


 

กระทั่งเรื่องกระทบใจอีกหลายเรื่องที่วิ่งเข้าชนเองโดยไม่ได้ตั้งรับมาก่อน 

ปีที่แล้ว ในช่วงที่ทุเรียนบ้านเริ่มออกดอก ค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวงพรรคพวกบ้านใกล้โทรศัพท์มาหา บอกว่ามีสัตว์ประเภทหนึ่งกำลังไต่ต้นยางพาราบ้านโน้น 

“จะถ่ายภาพไหม เดี๋ยวมารับ” ผมไม่ถามว่าสัตว์อะไรน่าสนใจแค่ไหน เพียงบอก 

“ไปสิ เดี๋ยวเตรียมกล้องพอดีแหละ” 

เพื่อนผมคนนี้เป็นนักล่า เป็นพรานมาตั้งแต่เด็กๆ มายาคติบางอย่างดึงดูดเขาให้ไกลออกจากการเป็นเพียงนักล่าเพื่อยังชีพ แต่เป็นการล่าเพื่อตอบสนองอะไรบางอย่างในตัวเอง เหมือนคนเล่นของเล่นบางชนิดที่ตรงจริต เรื่องแบบนี้คงชี้ผิดชี้ถูกยาก แนวใครแนวมัน ว่ากันอย่างนั้น 

แม้จะเป็นนักล่า แต่เพื่อนก็ไม่เคยมาล่า นก หรือกระรอกในสวนขี้คร้านบ้านผม แม้ในสวนบ้านเองสัตว์เล็กๆ สักตัวก็ไม่ล่า  (ผมเดาว่า คงไม่ตื่นเต้น)

ช่วงที่ผมยังเป็นคนเดินทางป่าเพื่อล่าภาพและเรื่องราวรายทาง เพื่อนผมคนนี้ประจำการอยู่ที่สวนผึ้ง แหล่งล่าของเขาเป็นชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เขาเคยชวนผมไปเดินป่าเส้นทางนั้นหลายครั้ง แต่ผมไม่ได้สร้างให้โอกาสนั้นเข้ามาหา ผมเลี่ยงๆ จนเขาย้ายภูมิลำเนากลับบ้านที่ชุมพร นิสัยนักล่ายังอยู่ แต่น้อยลง และเปลี่ยนรูปแบบจากพรานสัตว์ป่ากลายเป็นพรานล่าปลา 

ล่าปลาโดยการซุ่มยิงจากยอดไม้สูงเหนือแหล่งน้ำที่เคยพบว่ามีปลาขนาดใหญ่ที่น่าสนใจ อย่างปลานิลตัวเบิ้มๆ ปลาช่อน  แม้กระทั่ง ตะพาบน้ำ เขาซุ่มอยู่อย่างนั้นจนได้ยิง ส่วนจะได้เหยื่อที่ล่านั่นก็ แล้วแต่จังหวะโอกาส  หลายครั้งที่ไม่สามารถดำหาปลาที่โดนยิงตายแล้วมาทำเป็นอาหารได้ ด้วยว่าน้ำลึกเกินไป 

จะว่าไปแล้วก็คล้ายๆ นักซุ่มบังไพรเพื่อการถ่ายภาพสัตว์ป่าหายากในไพรลึก  ผิดกันเพียงแค่การล่าของเรา(ช่างภาพ)เราล่าเงา   เขา – พราน ล่า ชีวิต....แค่นั้น 

แต่เป็น “แค่นั้น” ซึ่งแตกต่างกันลิบลับแล้ว

 

คืนนั้น เขาพาผมควบขี่มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะไปในสวนยางพารา เพื่อไปดูสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ขี้อายที่สุด เคลื่อนที่ช้าที่สุด และพบตัวได้ยากที่สุด  “นางอาย” 

หลายครั้งที่เราพบ “นางอาย” ตายคาเสาไฟฟ้าแรงสูง ในหมู่บ้าน แต่เมื่อตามหาตัวในธรรมชาติตัวเป็นๆ เรากลับไม่ค่อยพบในเวลากลางวัน  ส่วนใหญ่จะถูกพบโดยพรรคพวกที่กรีดยาง แล้วบังเอิญส่องไฟไปกระทบสะท้อนแววตา 

นางอายเคลื่อนที่เชื่องช้าก็จริงครับ แต่ไม่ใช่เวลากลางคืน ช่วงที่เราไปยืนล้อมต้นยางพาราในสวนแห่งนั้น นางอายรีบป่ายปีนขึ้นยอดยางพาราอย่างรวดเร็วเกินคาด ผมเก็บภาพได้ไม่มากแถมยังโดนบังจากใบยางอีก แต่พอได้เห็นแล้วว่ายังมีสัตว์ป่าหลายอย่างอยู่ในสวนของชาวบ้าน ในป่า บนภูเขากลางหมู่บ้าน ซึ่งชุกชุมไปด้วยนักล่าทั้งในหมู่บ้านเองและนักล่าต่างถิ่น ก็นับว่าคุ้มแล้ว  

เหตุผลที่นางอายรอดตายจากการล่าแบบยิงทิ้ง หรือเป็นเป้าปืนเล่นๆ หรือจับมาเพื่อขายไปยังถิ่นอื่นคือ ไม่ต้องจริตนักล่าในหมู่บ้าน ความสงสารเพราะพฤติกรรมอันเชื่องช้าของมัน หรืออาจเป็นไปได้ว่ามีความเชื่อบางอย่างเกี่ยวกับสัตว์ที่ไร้พิษภัยพวกนี้ กระนั้นการล่าโดยอ้อมก็เกิดขึ้นเสมอจากความเจริญของเมือง ไฟฟ้าแรงสูง การบุกรุกถิ่นฐานของมัน รวมไปถึงการใช้ยาสารเคมีเพื่อกำจัดศัตรูพืช 



 

วันนี้อาจยังมีนางอายซุกซ่อนแอบหากินในพุ่มไม้บังตาอีกเป็นจำนวนมาก แม้สภาพถิ่นอาศัยของพวกเขาจะค่อยๆ เปลี่ยนไปจนยากที่จะเรียกร้องให้วันเก่าๆ กลับมา ที่ไหนในโลกนี้ก็ เหมือนกัน คล้ายกัน มีสังคม(คน สัตว์ พืช)ที่นั่นจะมีการล่าเกิดขึ้นเสมอ   

เรื่องขมขื่นที่สุดอาจเกิดในสังคมของมนุษย์ เมื่อจำนวนของนักล่าอาจเพิ่มขึ้นจนเป็นจำนวนที่มากกว่าเหยื่อ ถึงตอนนั้น.....เราอาจล่ากันเอง  

                    ----------------------------------------------------------------------------------------------

รำลึก สืบ นาคะเสถียร 1 กย. 2557



ความเห็น

ปัจจุบัน  ในสังคมบางพื้นที่ก็เริ่มล่ากันเองแล้ว แต่มาในรูปแบบที่แยบยลกว่าการล่าสัตว์ในธรรมชาติ มันน่ากลัวที่สุดสำหรับคนที่อ่อนแอ

คิดให้แตกต่าง...แต่อย่าแตกแยก

บ้านผมไม่มีให้เห็น อย่าว่าล่าเลย

คน... ล่ากันเองมานานแล้ว

..โอกาสไม่ได้มีทุกวัน..

 

พูดถึงนางอาย มีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นกับจ๋าเมื่อหลายปีที่แล้วค่ะ

ประมาณตี 2 นอนหลับอยู่กับแม่ในห้อง ประตูไม่ได้ปิด 

ขณะกำลังหลับ ก็มีความรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างมาแตะเบาๆ ที่ตัวผ่านผ้าห่มที่ห่มอยู่

สิ่งนั้นค่อยๆ คลานขึ้นมาสูงจนถึงประมาณเอว ความรู้สึกตอนแรกคิดว่าเป็นแมว แต่ก็แปลกใจ

เพราะที่บ้านไม่ได้เลี้ยงแมว เลยตัดสินใจสะบัดผ้าห่มออกจากตัวอย่างเร็ว แล้วรีบเปิดไฟ

สิ่งที่เห็นไปเกาะรูปถ่ายอยู่ใกล้หมอน ( หัวนอน) คือตัวประหลาด กรี๊ดสุดเสียงเพราะตกใจมาก

มาได้สติตอนที่แม่มาเขย่าตัวและเหมือนจะกอดไว้ พ่อนอนอยู่หน้าห้อง รีบวิ่งเข้ามา พ่อถือไม้เข้ามาด้วย ทันทีที่ได้สติ ก็พูดขึ้นว่า นางอาย นางอาย พ่อกับแม่คงงง เพราะเห็นหันมามองหน้ากัน เลยนึกศํพท์ทางปักษ์ใต้ขึ้นได้ว่า "ลิงลม" เลยบอกไปว่าบ้านเราเค้าเรียกลิงลม หลังจากนั้นก็ใช้ไม้เขี่ยๆ ให้เค้าออกไป ดูหมาให้เรียบร้อย กลัวหมาจะมาตะครุบเค้า แป๊ปเดียวเค้าก็หายไปในความมืด 

ก็แปลกใจมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะที่บ้านเป็นบ้านเดีี่ยวๆ อยู่ในทุ่งนา ไม่มีป่า ต้นไม้ใหญ่ๆ แล้วเค้ามาจากไหน?

ได้อยู่กับธรรมชาติ--รักษาจิตใจให้สงบ--คือโอกาสของเราแล้วค่ะ---อยู่เท่าที่อำนวย นะคะ--ความสุขอยู่ที่ตัวเราทั้งนั้น---นางอาย สมควรอนุรักษ์อย่างยิ่ง ค่ะ--ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน--บอกเพื่อนอย่าทำร้ายมันนะคะ--ให้เป็นที่นางพักพิง สักแห่งเถิดค่ะ