เพอร์มาคัลเจอร์ #9 : Hugelkultur
จากความพยายามหาแนวทางในการจัดการพื้นที่ในสวนบริเวณที่เป็นหินค่อนข้างมาก ดินแข็ง อินทรีย์วัตถุน้อย และแทบไม่มีดินสีดำๆ ให้เห็นเลย ในบริเวณดังกล่าวแม้นแต่น้องปอเทืองก็งอกน้อยมาก ทำให้ได้ค้นหาเรื่องราวในฟอรั่มของเพอร์มาคัลเจอร์เกี่ยวกับเทคนิคการปรับปรุงดินในพื้นที่ที่เป็นทรายล้วน / หินกรวดล้วน รวมทั้งพื้นที่ทะเลทราย ให้สามารถเพาะปลูกได้ และเมื่อทำต่อเนื่องกันหลายๆ ปีก็ปรากฎหน้าดินขึ้นมาได้ เทคนิคดังกล่าวเรียกว่า Hugelkultur ซึ่งเป็นภาษาเยอรมันแปลว่า mound culture น่าจะแปลเป็นภาษาไทยว่า วัฒนธรรมเนินดิน ซึ่งฟังดูแปลกๆ และไม่สื่อความหมายมากนัก จึงของใช้ชื่อภาษาเยอรมันว่า Hugelkultur ตามเขาแล้วกัน
Hugelkultur เกิดจากการสังเกตุธรรมชาติว่าต้นไม้ที่ล้ม หรือกิ่งไม้ที่ร่วงในป่าธรรมชาติจะสามารถรักษาความชื้นได้ดีกว่าบริเวณรอบๆ มักจะมีตะไคร่ มอส หรือเห็ดเกาะตามขอนไม้ ในหน้าแล้งดินบริเวณขอนไม้ก็จะมีความชื้นมากกว่าบริเวณอื่นๆ เมื่อไม้ย่อยสลายก็จะทำให้ดินบริเวณใกล้ๆ ขอนไม้มีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าบริเวณอื่นๆ เป็นเวลานับ 10 ปีหลังจากที่ต้นไม้ล้มแล้ว หลังจากที่ขอนไม้ย่อยสลายหมดแล้วบริเวณดังกล่าวก็จะกลายเป็นกองดิน (mound)
ชาวยุโรบตะวันออกจึงพยายามเลียนแบบธรรมชาติด้วยเทคนิคการหมักปุ๋ยโบราณแบบที่เรียกว่า Sheet Composting หรือ Lasagna Composting (ซึ่งเป็นเทคนิคหลักที่ใช้ใน no-dig garden เรื่องนี้ว่างๆ จะมาเขียนบล็อกให้อ่านในภายหลัง) โดยการสุมไม้ที่ไม่ใช้ หรือเศษไม้จากการตัดแต่งกิ่งให้ค่อยๆ ย่อยสลายเป็นปุ๋ย
Hugelkultur กลายเป็นที่นิยมในกลุ่มเพอร์มาคัลเจอร์เนื่องจากนักเพอร์มาคัลเจอร์ชาวออสเตรียที่มีชื่อว่า Sepp Holzer พยายามทำแปลงผักที่ไม่ต้องพรวนดินโดยการใส่อินทรีย์วัตถุที่จะหมักเป็นชั้นๆ (Sheet Composting หรือ Lasagna Composting) แล้วปลูกผักบนกองปุ๋ยหมักไปเลยโดยไม่ต้องรอให้กลายเป็นปุ๋ย (นิสัยขี้เกียจตามสไตล์เพอร์มาคัลเจอร์ ทำครั้งเดียว ใช้ได้นานๆ )
ในประเทศไทยก็มีการทดลองทำปุ๋ยหมักในลักษณะคล้ายกับแบบนี้ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ในปี 2552 เรียกว่า "การผลิตปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกลับกอง" ของ ผศ.ธีระพงษ์ สว่างปัญญางกูร โดยในช่วงแรกปี 2547 เป็นระบบที่ต้องมีท่อเติมอากาศ ต่อมาจึงพัฒนาเทคนิคคล้ายของชาวตะวันตกในปี 2552 กลายเป็นเทคนิคแบบที่ไม่ต้องใช้ท่อเติมอากาศ ซึ่งปัจจุบันเป็นเทคนิคการผลิตปุ๋ยหมักที่กำลังได้รับความนิยมจากสมาชิกเวปเพื่อนบ้านของเราเป็นอย่างสูง
แต่สิ่งที่ Sepp Holzer ทำจะแตกต่างจากการผลิตปุ๋ยหมัก เพราะในขบวนการหมักเราอาจจะไม่ต้องคำนึงถึงปริมาณไนโตรเจน ความร้อน หรือความเป็นกรดในกองมากเท่ากับการปลูกพืชบนกองปุ๋ย โดยปกติถ้าเราใส่เศษไม้เข้าไป (มีคาร์บอนสูง) จำนวนมากจะเกิดการดึงไนโตรเจนไปใช้ในขบวนการหมักมาก ทำให้เกิดสภาวะขาดธาตุไนโตรเจนในกองปุ๋ยชั่วคราวแต่ก็มากพอที่จะทำให้พืชที่ปลูกบนกองเหลืองและตายได้ ถ้าเราใส่ไม้เข้าไปน้อยมีปริมาณวัสดุที่มีไนโตรเจนมากไปก็อาจจะทำให้เกิดสภาพเป็นกรดจนพืชตายได้เช่นกัน ความท้าทายที่ Sepp Holzer เจอคือเขาจะต้องระมัดระวังในการผสมสัดส่วนของวัสดุต่างๆ เข้าไปในกองเป็นอย่างมาก ต่อมา Sepp Holzer จึงพยายามประยุต์เทคนิคของ Hugelkultur โดยการใช้ไม้ทั้งท่อน ไม่ต้องย่อยไม้ให้เป็นชิ้นเล็ก หรือเป็นขี้เลื่อยก่อนที่จะไปทำกองปลูกพืช เขาค้นพบว่าการทำแบบนี้จะทำให้เกิดการย่อยสลายแบบช้าๆ ซึ่งอาจยาวนานเป็นสิบปี ทำให้พืชที่ปลูกบนกองนี้ได้รับอาหารอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานมาก และเขาก็ไม่ต้องสนใจเรื่องสัดส่วนของอินทรีย์วัตถุต่างๆ ที่เขาจะเติมลงในกอง และ Hugelkultur กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของเขาในการทำการเกษตรแบบเพอร์มาคัลเจอร์จนเป็นที่โด่งดัง
การสร้าง Hugelkultur สามารถทำได้หลายเทคนิคดังนี้
ถ้าหน้าดินตื้น, ขุดดินยาก และคุณสามารถหาดินจากที่่อื่นในพื้นที่ หรือจากภายนอกได้ วิธีแรกจะค่อยข้างง่ายที่สุด คือเอาท่อนไม้มากองสุมกันจนสูง แล้วเอาดินที่หาได้มาโรยทับหนาประมาณ 1-2 นิ้ว คลุมด้วยวัสดุคลุมดิน เช่น ฟาง | |
ถ้าไม่สามารถหาดินจากที่อื่นได้ วิธีที่ 2 คือการขุดดิน (เช่น ขุดลึก 30-60 ซม.) เป็นร่อง แล้วเอาท่อนไม้มากองสุมในร่องที่ขุด จากนั้นโรยดินที่ขุดทับกองไม้อีกครั้ง | |
วิธีนี้คล้ายๆ วิธีที่ 2 แต่จะขุดร่องข้างๆ กองเพื่อให้น้ำไหลลงร่องนี้ในช่วงที่ฝนตก และเอาดินในร่องข้างๆ ไปใส่บนกอง Hugelkultur ด้วย |
ส่วนรูปทรงของกอง Hugelkultur สามารถทำได้หลายอย่างขึ้นกับลักษณะของดิน ปริมาณท่อนไม้ และวัสดุอื่นๆ ด้วย เช่น
ทรงปกติ | |
ทรงผอมสูง |
|
ทรงสามเหลี่ยม | |
แบบกั้นขอบด้วยหินขนาดใหญ่ | |
แบบกั้นขอบด้วยท่อนไม้ |
ตัวอย่างภาพการทำกอง Hugelkultur แบบที่ 2 (แบบขุด)
ปัญหาหลักในการทำ Hugelkultur ที่มักจะเจอคือ คนทั่วๆ ไปไม่คุ้นเคยกับการมีแปลงปลูกผักเป็นกองสูงๆ คนคุ้นชินกับการมีแปลงผักเตี้ยๆ และด้านบนแปลงผักราบ ดังนั้นจึงมักจะทำให้กอง Hugelkultur เตี้ยเกินไปจนไม่เห็นผลของเทคนิคนี้เท่าที่ควร ถ้าเราต้องการจะได้กองปลูกผักที่ไม่ต้องรดน้ำเลยตลอดหน้าแล้ง (หลังจากปีที่ 2) เราจะต้องทำกอง Hugelkultur สูงอย่างน้อย 2 เมตร ถ้ากองของเราสูงประมาณ 60 ซม. ก็จะสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องรดน้ำประมาณ 3 สัปดาห์ คุณสมบัติในการดูดซับความชื้นของ Hugelkultur ที่มีความสูงเพียงพอนั้นดีมากจนมีบางท่านเรียก Hugelkultur ว่า No irrigation raised bed gardening system (ระบบยกร่องแปลงผักที่ไม่ต้องรดน้ำ)
อ่านเจอแบบนี้ผมก็กำลังคิดว่าในปีนี้คงจะไม่มีกิ่งไม้ในสวนพอที่จะสามารถทำกองสูงขนาด 2 เมตรได้ (ปีเลยนี้กำลังปลูกไม้ป่าประมาณ 600 ต้น อนาคตน่าจะมีกิ่งไม้มากขึ้น) แต่จะพยายามทดลองทำกองขนาด 60 - 120 ซม ไปก่อนในช่วงต้น ถ้าได้ผลดีจึงค่อยๆ ขยายกองต่อไป ถ้า Hugelkultur มันเวิร์คกับพื้นที่ที่ผมเพาะปลูกอะไรไม่ได้ก็จะค่อนข้างคุ้ม เพราะการทำ 1 ครั้งจะสามารถใช้งานได้นานเกินสิบปี สมกับการขี้เกียจสไตล์เพอร์มาคัลเจอร์ (permanent + culture) :uhuhuh:
เพอร์มาคัลเจอร์ #8.1 สระน้ำ - ต้นไม้ริมสระ
เพอร์มาคัลเจอร์ #8: สระน้ำ
เพอร์มาคัลเจอร์ #7 : สวน 3 พี่น้อง
เพอร์มาคัลเจอร์ #6.2 : ผลงานของ swale ช่วงเริ่มต้น
เพอร์มาคัลเจอร์ #6.1 : เริ่มลงมือทำ swale
เพอร์มาคัลเจอร์ #6 : การกักเก็บน้ำฝน
เพอร์มาคัลเจอร์ #5 : ภูมิอากาศ และสภาพแวดล้อม
เพอร์มาคัลเจอร์ #4 : เรื่องเล็กๆ ของการเก็บน้ำฝน
เพอร์มาคัลเจอร์ #3 : การวิเคราะห์โซนในการออกแบบภูมิทัศน์
เพอร์มาคัลเจอร์ #2 : การออกแบบรูปแบบการปลูกต้นไม้
เพอร์มาคัลเจอร์ #1 : แนะนำแนวคิดเบื้องต้น
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://my-experimental-farm.blogspot.com
- บล็อกของ teerapan
- เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน เพื่อแสดงความคิดเห็น
- อ่าน 28614 ครั้ง
ความเห็น
ป้าเล็ก..อุบล
12 กรกฎาคม, 2012 - 20:10
Permalink
Re: เพอร์มาคัลเจอร์ #9 : Hugelkultur
คิดว่า ที่เราทำก็คล้ายๆกันกับอันนี้นะ ป้าเล็กเริ่มจากใส่ใบไม้แห้ง ใบไม้ผุ ใบตองแห้ง เต็มกระถาง แล้วเอาดินผสมปุ๋ยหมัก ใส่ทับลงไป ที่จริงที่ทำแบบนี้เพราะ คิดว่า ก้นกระถางไม่ได้ใช้ ใส่ดินไปทั้งกระถางก็เสียดาย เพราะดินกับขี้วัว เราต้องซื้อมา ก็เลยใส่ใบไม้รองไปเยอะๆๆๆ (กันก้นตันได้ด้วยนะ) จนกลายเป็นนิสัย พอเมล็ดงอกก็งามดีแต่ดินยุบตัว สักพักเราก้เพิ่มดินที่หนักไปทางปุ๋ย แล้วทีนี้ก็งามมมมมมมมมมมทุกอย่างเลย
084-167-4671
anongrat2508@hotmail.com
teerapan
13 กรกฎาคม, 2012 - 21:04
Permalink
Re: เพอร์มาคัลเจอร์ #9 : Hugelkultur
ครับ หลักการบางอย่างคล้ายกันครับ
“Stupidity is an attempt to iron out all differences, and not to use them or value them creatively.”
― Bill Mollison
สาวน้อย
12 กรกฎาคม, 2012 - 20:39
Permalink
Re: เพอร์มาคัลเจอร์ #9 : Hugelkultur
พัฒนาไม่หยุดเลย...เหนื่อยบ้างมั้ยคะเนี่ย...หยุดงานไปสวน ๆ
ชีวืตที่เพียงพอ..
teerapan
13 กรกฎาคม, 2012 - 21:03
Permalink
Re: เพอร์มาคัลเจอร์ #9 : Hugelkultur
:sweating: ไม่มีร้านให้พัฒนาแบบน้องน้อย เลยต้องมาพัฒนาสวนแทน
“Stupidity is an attempt to iron out all differences, and not to use them or value them creatively.”
― Bill Mollison
ดอกแก้ว
12 กรกฎาคม, 2012 - 21:16
Permalink
Re: เพอร์มาคัลเจอร์ #9 : Hugelkultur
:cheer2: :cheer2:
^^
teerapan
13 กรกฎาคม, 2012 - 21:06
Permalink
Re: เพอร์มาคัลเจอร์ #9 : Hugelkultur
:cheer3: :cheer3:
“Stupidity is an attempt to iron out all differences, and not to use them or value them creatively.”
― Bill Mollison
นู๋สร้อย
12 กรกฎาคม, 2012 - 21:33
Permalink
Re: เพอร์มาคัลเจอร์ #9 : Hugelkultur
ต้องลองทำดูบ้างแล้วค่ะ
teerapan
13 กรกฎาคม, 2012 - 21:02
Permalink
Re: เพอร์มาคัลเจอร์ #9 : Hugelkultur
บ้านพี่สร้อยวัตถุดิบเพียบ ทำได้สบายๆ เลยครับ ทำกองสูงๆ เวลาเก็บผักจะได้ไม่ต้องก้ม
“Stupidity is an attempt to iron out all differences, and not to use them or value them creatively.”
― Bill Mollison
papen
12 กรกฎาคม, 2012 - 21:37
Permalink
Re: เพอร์มาคัลเจอร์ #9 : Hugelkultur
:good-job: :good-job:
teerapan
13 กรกฎาคม, 2012 - 21:00
Permalink
Re: เพอร์มาคัลเจอร์ #9 : Hugelkultur
:embarrassed: :embarrassed:
“Stupidity is an attempt to iron out all differences, and not to use them or value them creatively.”
― Bill Mollison
หน้า