เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ ทำทีละอย่าง(ตอนที่ 2)

หมวดหมู่ของบล็อก: 

จักรยานเสือภูเขา พาผมลัดเลาะไปมาในหมู่บ้าน ผมปั่นสำรวจดูท้องถิ่นที่อยู่ บทเพลงฝนเดือนหกของรุ่งเพชร แหลมสิงห์ ดังก้องในอารมณ์ของผม นั่นคือช่วง หลังจากย้ายภูมิลำเนามาปักหลักยังถิ่นฐานบ้านนา กบินทร์บุรี ผมชอบชื่อหมู่บ้านที่ผมได้อยู่ “บ้านท่าสนามทอง” เมื่อก่อนนี้ชาวบ้านแถบนี้เรียกว่า “โคกกระแต” ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อครั้งที่ปู่ของผมยังเป็นหนุ่ม ท่านได้ถากถางป่าแถบนี้จนกลายเป็นที่นา  และวันหนึ่ง ท่านได้มองไปยังท้องนาของท่าน แล้วเห็นแสงสีทองทาบทาในที่นา  ท่านจึงเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ และกลายเป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา ว่า “บ้านท่าสนามทอง” บ้านที่ผมจะเริ่มต้นชีวิตอย่างที่ผมตามหา ได้ผูกพันกับธรรมชาติ ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาสามัญ ชื่นกับความพอเพียงในจิตวิญญาณ

 

 

(ป้ายหน้าหมู่บ้าน ทางการมาติดให้ในวันที่ผมเอาตอไม้ออก ราวกับรอต้อนรับเกษตรกรมือใหม่)

 

หลังจากจัดการกับแมกไม้ในที่ดิน ผมก็พบว่า นี่คือทุนทรัพย์ที่ปู่และย่ามอบให้ เพราะจากการตัดไม้ขาย ผมก็ได้เงินทุนมาจัดการเกี่ยวกับที่ดินได้พอสมควร ชีวิตที่ไม่เคยมีเงินออมก็กลับมีขึ้นมาโดยพลัน เอาล่ะ ผมจะต้องเพิ่มพูนทุนทรัพย์ ทรัพย์ในผืนดินแห่งนี้ จะต้องงอกเงยเป็นจริงในสักวัน ผมไม่ได้ปรารถนาความร่ำรวย  ทรัพย์ในดินที่ว่านี้ ผมหมายถึง ความงอกงามแห่งพืชพันธุ์ที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตผมได้อย่างยั่งยืน ผมบอกกับตัวเองว่า ความร่ำรวยที่แท้นั้น คือการพึ่งพาตัวเองได้อย่างรื่นรมย์ในชีวิต นี่คือสิ่งที่ผมจะต้องสร้างสรรค์ให้กับชีวิตของตัวเองให้ได้

 

 

(จักรยานเสือภูเขา พาหนะประจำตัวของผม คันนี้เป็นคันที่สอง คันแรกโดยขโมย ไว้จะเล่าให้ฟังในอีกตอน) 

 

ผมพิจารณาดูแล้วว่า สิ่งใดที่ทำได้ด้วยตัวเอง สิ่งนั้นผมจะลงมือทำทันที ทำแบบเรื่อยๆ ไม่รีบเร่งนัก แต่สิ่งใดที่ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือขาดอุปกรณ์เครื่องมือ  ก็พิจารณาดูว่าควรจะใช้งบประมาณเท่าไหร่ จึงจะพอเหมาะ หลังจากตัดไม้แล้ว ผมคิดว่าคงจะลงมือปลูกพืชพันธุ์ได้ทันที แต่เปล่าเลย ตอไม้ขนาดใหญ่ที่เกิดจากการตัดไม้ คืออุปสรรคที่ทำให้ผมไม่สามารถปรับแต่งที่ดินได้ ผมจมอยู่กับปัญหาอยู่หลายวัน  แต่ด้วยกำลังใจที่ส่งมา ผมจึงค่อยๆ ทบทวน แล้วไถ่ถามผู้รู้ แล้วจึงคิดได้ว่า คงต้องจ้างคนมาขุดถอนตอ เอาเฉพาะตอใหญ่ๆ ที่เหลือก็ด้วยแรงกายของตัวเอง แล้วก้าวที่สองของผมก็เริ่มต้น และนับเป็นโชคดีของผมตรงที่ ตอไม้เหล่านั้นที่ผมจ้างคนมาขุดออก สามารถทำรายได้ให้ผมได้อีก

 

(งานใหญ่อีกงานหลังจากตัดต้นไม้ออก จำเป็นต้องจ้างรถแบคโฮมาขุดถอนออก)

 

(โชคดีที่ได้ทุนจากการขายไม้ แต่ก็ประหยัดงบด้วยการให้รถขุดแต่ตอใหญ่ๆ ที่เหลือ ต้องสู้ด้วยแรงกายตัวเอง) 

(เป็นเวลาเดือนเศษๆ ที่ผมขุดถอนเอาตอเล็กๆ และเศษไม้ออกด้วยแรงงานตัวเอง ที่ดินจึงเริ่มทำแปลงเพาะปลูกได้)

 

 

หลังจากจัดการเอาตอไม้ใหญ่ๆ ออกไปแล้ว ราวๆ หนึ่งเดือนเศษๆ ผมก็สามารถขุดถอนตอเล็กๆในที่ออกไปได้ แม้ไม่หมด แต่ก็ทำให้ที่ดินโล่งเรียบขึ้นอีกเยอะ ผมมองดูผืนดินที่เรียบโล่ง นึกถึงภาพรกร้างก่อนหน้า  แม้บางทีจะรู้สึกผิดกับการตัดไม้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ผมก็ทำประโยชน์ใดๆ ไม่ได้ การจะได้อะไรมา ย่อมต้องแลกเปลี่ยนกับการเสียไปเสมอ  เมื่อตัดใจได้ ผมก็เลิกกังวล เริ่มต้นทำแปลงเพาะปลูกอย่างตั้งใจต่อไป ปัญหาที่ตามมาก็คือ ผมจะปลูกอะไร เพื่ออะไร แล้วมันจะสำเร็จหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ผมต้องสะสางด้วยตัวของตัวเองทั้งหมด ผมคิดถึงบรรพบุรุษที่เก็บรักษาทรัพย์สมบัติไว้ให้ แล้วพนมมือขอบพระคุณ ระลึกถึงบุญคุณของท่าน เอื้อมมือสัมผัสเนื้อดิน กลิ่นดินโชยเข้าจมูก หอมหวนยิ่งนัก

 

 …………….

ความเห็น

บรรยายเหตุการณ์ได้น่าอ่านมากครับ อ่านแล้วคิดถึงบรรยากาศเก่าๆที่บ้าน เอาใจช่วยครับ สุ้ๆครับ จะไปตามความฝันเช่นกันครับในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

รักบ้านเกิด ชอบเศรษฐกิจพอเพียง

เป็นกำลังใจให้นะคะ ก้าวแลกที่มั่นคง สู้ๆๆคะ 

ก้าวย่างอย่างมั่นคงนะคะ เป็นรูปเป็นร่างแระ

Cool คงจะดี ถ้า...

ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ ทุกอย่างต้องแลก

..โอกาสไม่ได้มีทุกวัน..

 

ไม่มีอะไรได้มาเปล่าๆ ทุกอย่างต้องแลกเอา

..โอกาสไม่ได้มีทุกวัน..

 

ขอเป็นอีก 1 กำลังใจ ค่อย ๆ ทำเดี๋ยวเดียวก็ยิ้มดูความสำเร็จของตนเองได้แล้วค่ะ  มีดิน มีฝนไม่ต้องกลัว

บ้านสวนในฝัน