ในสายตา ....ของครูคนหนึ่ง(1)
ขออภัย ผู้ใหญ่ และสมาชิกทุกท่าน
ถ้าผู้ใหญ่เห็นว่า สิ่งที่ได้แสดงออกไปไม่เหมาะ ไม่ควร เห็นสมควร ลบ หรือ ว่ากล่าวตักเตือนก็ยินดีครับ
ไม่ได้ทำเพราะอึดอัด
ไม่ได้เขียนเพราะขัดใจ
ไม่หวังจะให้ใครเห็นด้วย
เพียงแค่จะถ่ายทอดภาพที่ครูคนหนึ่งเห็นเท่านั้น
หรือบางคนอาจมองว่า"มันไม่น่ามาเป็นครู" ก็ยินดีครับ
.....กลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2522 เด็กชาย ตี๋ ดีใจ ที่ได้แต่งชุดนักเรียนเป็นครั้งแรก
เข้าเรียนชั้น ป.1 ด้วยความที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย นอกจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาจากพ่อแม่และพี่ๆ เนื่องจากเป็นน้องสุดท้องของพี่ๆทั้งสาม พอเข้า ป.1จึงได้เริ่มหัดลากเส้น แต่ละเส้นมีชื่อน่ารักเอาใจเด็ก ๆ เช่นเส้น ฝนตก กบกระโดด ล้อหมุน จากนั้นก็เอา เส้นต่าง ๆ มาประกอบกันเป็นตัวอักษรทั้ง 44 ตัว ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนก็มีความพร้อมที่จะฟังพูดอ่านเขียนคำพื้นฐานได้
.....บัดนี้ ได้มายืนอยู่หน้ากระดานอยู่สิบ กว่าปี มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องเตรียมความพร้อมเด็ก ถึง 50 เดือน มันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ เตรียมความพร้อมอะไร พร้อมเพื่อใคร พร้อมอย่างไร ได้แต่ถามตัวเองไม่กล้าถามคนอื่น เพราะอยู่ในสังคมที่ใครคิดต่างคือศัตรู
.....ถ้าเด็กคือผ้าข้าว ในศูนย์เด็กเล็กมีสีอยู่กี่สี กี่ชนิด บางชนิดซักออกบางชนิดติดฝังเนื้อ และโดยมากมักเป็นสีที่ไม่ต้องการ
.....มองกลับไปที่บ้าน เด็ก หนึ่งคน มี พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา เป็นผู้ดูแล แต่สถานที่ ที่หลายคนเอาลูกหลายไปเตรียมความพร้อม พี่เลี้ยง หนึ่งคน ต้องดูแลเด็กกี่คน 20 25 หรือ 30 เด็กไปอยู่ตรงนั้นแล้วมีความสุขจริงหรือ
.....หน้าบ้านพักครู คือที่ตั้งของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กประจำหมู่บ้าน สิ่งที่เห็นทุกวัน พ่อแม่ที่พาลูกมาส่ง แล้วหลอกลูกต่างๆนานา พ่อไปธุระ แม่ไปทำงาน เดี๋ยวมารับหลอกสารพัด เด็กร้องให้กระจองอแงทุกวัน ทั้งที่พ่อแม่หลายคนพอส่งลูกเสร็จแล้ว กลับไปนั่งร้านน้ำชาพุดเรื่องชาวบ้าน หิ้วกรงนกไปนั่งบ้านเพื่อนไม่ได้มีงานอะไร ทำไมจึงอยากนักหนาที่จะผลักไสไล่ส่งลูกให้ออกจากอกตั้งแต่เล็กๆ ทำไมไม่คิดว่านั่นคือการสร้างจิตใต้สำนึกของเด็ก ว่าพ่อแม่ไม่รัก
......เรากำลังเดินตามหลังใคร นักวิชาการบางท่าน ไปดูงานต่างชาติ เห็นเขาทำจึงทำบ้าง มองอะไรมองด้านเดียว เฉพาะด้านที่ตัวเองยืนอยู่ จึงได้เห็นแต่มุมที่สว่าง แต่มองไม่เห็นในมุมมืดมุมอับ จึงไม่ได้ปล่อยให้เด็กเรียนรู้ตามธรรมชาติของเด็ก โดยมีครอบครัวเป็นผู้ดูแล แต่พยายามให้เด็กได้เรียนรู้ตามกรอบที่เขากำหนดขึ้น เท่านั้น
......สิ่งที่อยากเห็นในวันนี้ และวันหน้า ซึ่งคงไม่มีวันได้เห็น คือ สังคม คือครอบครัวแบบเมื่อ 30 ปีก่อน ครอบครัวที่อยู่กับแบบพอเพียง และอบอุ่น มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เป็นไม่ไผ่รุ่นแรก ที่จะคอยประคับประคองหน่ออ่อนๆรุ่นหลังให้ตั้งตรงอยู่ได้โดยไม่หักโค่นซะก่อน ให้เขาพร้อมที่จะเรียนรู้โดยธรรมชาติ ไม่ใช่เร่งรัดให้เขาพร้อม อย่างที่พยายามทำกันเช่นทุกวันนี้
ในสายตาของครู...
- บล็อกของ ตี๋ ครม.
- เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน เพื่อแสดงความคิดเห็น
- อ่าน 6235 ครั้ง
ความเห็น
ต้นกล้าน้อย
27 พฤษภาคม, 2011 - 00:00
Permalink
P' tee
:crying3: พี่ครับ เวลามันเปลี่ยนไป ถ้าพร้อมก็ต้องลุย ลุยไปกับลูกๆ เห็นลูกผมหรือลูกคนอื่นๆเรียนภาษา หรือยากๆตัวเล็กๆ ก็ต้องลุย มีความรู้เยอะแต่พอเพียง น่าจะดีนะ
นู๋หวึ่ง
27 พฤษภาคม, 2011 - 00:55
Permalink
พี่ตี๋
เข้ามาให้กำลังใจพีตี๋อีกคนค่ะ ส่วนเรื่องลูกไม่อยากคิดเลยค่ะ เขาเป็นฝรั่งเต็มตัว กลุ้มใจมาก ความคิดความอ่าน แม้แต่จิตใจยังเป็นเหมือนคนยุโรป เต็มตัว
ชีวิตไม่ได้เกิดมา เพื่อยอมแพ้
RUT2518
27 พฤษภาคม, 2011 - 05:38
Permalink
คุณตี๋
เข้ามาเป็นกำลังใจให้ครับ
Sopha B'
27 พฤษภาคม, 2011 - 08:28
Permalink
ครูตี๋
ในเมื่อมุ่งมั่นในอาชีพนี้แล้ว ก็สู้ ๆ ต่อไปคะ
ตี๋ ครม.
27 พฤษภาคม, 2011 - 12:24
Permalink
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ตอนเป็นเด็ก....มีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน กลางคน.....มีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา ปั้นปลาย.....มีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีแรง
Thanawit
27 พฤษภาคม, 2011 - 08:54
Permalink
ผมเห็นด้วยกับครู เป็นอย่างมาก
ผมเห็นด้วยกับครู เป็นอย่างมาก ..... เมื่อวานยัง คุยกับแฟน อยู่เลยครับ น้องของแฟน เพิ่งพาลูกไปเข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เอกชนด้วย ...เทอมนึง 9000 โอ้แม่เจ้า ผมเรียน ป.ตรี ค่าเทอมยังครึ่งนึงของเด็กเลย แล้วเด็กวัยนี้ ทำอะไร ก็แค่กินกับนอน ....เรื่องเรียน ก-ฮ หัดอ่าน หัดเขียน พ่อแม่ สอนเองที่บ้านก็ได้ ที่บ้านก็มีย่า อยู่ดูแล... ผมยังจำได้เลย ตอนผมเด็ก ๆ ไปเรียนอนุบาล ตอน 5 ขวบ พอ 6 ขวบ ขึ้นป 1 พอ 7 ขวบ ขึ้น ป 2 ขึ้นไปได้ไม่ถึงเดือน ครูใหญ่ ไล่กลับเรียน ป 1 อีก เพราะอายุ ยังไม่ถึงเกณฑ์ สรุป เรียน ป 1 ตั้ง 2 ปี ...ตอนเป็นเด็กก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่มานึกตอนนี้ เวลา 1 ปี ที่เสียไป น่าจะได้อยู่กับบ้านกับ ปู่ ย่า ดีกว่า ...ถ้าเป็นผมมีลูกนะผมจะให้ไปโน่นแหละ 6 ขวบ เรียนอนุบาล ปีนึง 7 ขวบ ก็ขึ้น ป 1 เลย ....เป็นกำลังใจให้ครับ ครู ....
เมื่อรู้สึกว่ากำลังแย่ จงให้กำลังใจตัวเอง ด้วยการคิดว่า "ยังมีคนอื่นที่แย่กว่าเราอีก"
ตี๋ ครม.
27 พฤษภาคม, 2011 - 12:23
Permalink
คุณธนาวิทย์
ขอบคุณสำหรับกำลังใจและแนวคิดครับ
ตอนเป็นเด็ก....มีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน กลางคน.....มีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา ปั้นปลาย.....มีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีแรง
lekonshore
27 พฤษภาคม, 2011 - 08:56
Permalink
คุณครูตี๋
สู้ต่อไปน้อง ในฐานะแม่คนหนึ่ง เราก็อยากจะให้สิ่งที่ดี ที่สุดสำหรับเขา ทำทุกอย่างทุกวันนี้ก็เพื่อเขา บางทีการที่เราต้องทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นการเร่งรัดลูกก็ต้องยอมเพื่อลูกจะได้อยู่ในสังคมได้เหมือนคนอื่น ๆ ลูกเราต้องเข้าสังคม ไม่สามารถจะอยุ่แบบดั้งเดิมได้ทั้งหมด เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้วแต่ก็พยายามให้ยึดมั่นในสิ่งที่ดี ที่ถูกที่ควร เคยทำแบบที่ครูตี๋ว่าคือไม่เร่งรัดลูกไม่เรียนพิเศษ พอลูกไปเรียน ๆ ไม่ทันเพื่อนเพราะการสอนสมัยนี้ครูสอนในเวลา กับสอนพิเศษต่างกันมาก(ขอโทษนะอาจไม่ทุกคน)
msn:lekonshore@hotmail.com
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร
ตี๋ ครม.
27 พฤษภาคม, 2011 - 12:18
Permalink
พี่เล็ก
ขอบคุณครับสำหรับความคิดเห็น และกำลังใจ :sweating:
ตอนเป็นเด็ก....มีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน กลางคน.....มีเงิน มีแรง แต่ไม่มีเวลา ปั้นปลาย.....มีเงิน มีเวลา แต่ไม่มีแรง
ป้าต่าย
27 พฤษภาคม, 2011 - 09:22
Permalink
ครูตี๋
เข้าใจความรู้สึกของครูดี...ป้าคิดเหมือนครูตี๋นะ...ลูก 2 คนที่บ้านไม่เคยเรียน รร.เด็กเล็กเลย เข้า ป1. ตอน 7 ขวบ ก็เรียนได้ดีเท่าเด็กอื่นๆ แต่ตอนที่อยู่ที่บ้าน พ่อ แม่ ต้องดูแลมากหน่อย สอนหนังสือ นับเลข คือสอนไปเล่นไปใกล้ชิดกันมาก ๆ สังเกตุได้เลยว่าเด็กที่ปล่อยให้เล่นให้เรียนตามวัย สมองเขาจะพัฒนาได้ดีไม่ดื้อ ไม่เกเร ปัจจุบันก็เรียนจบ...มีหนังสืออยู่เรื่องหนึ่งอยากให้พ่อแม่ทุกคนหามาอ่าน เรื่อง โต๊ะโตะ เด็กหญิงข้างหน้าต่าง ลองหามาอ่านกันดูนะแล้วจะรู้ว่าการเลี้ยงลูกด้วยหัวใจ และธรรมชาติดีอย่างไร
คิดให้แตกต่าง...แต่อย่าแตกแยก
หน้า