สติมา ปัญญาเกิด.....9 วิธี เจริญสติในออฟฟิศ

หมวดหมู่ของบล็อก: 

                                                            ขอขอบคุณ คุณนันท์นภัส ศรีวิไลเจริญ ที่แบ่งปันข้อมูล

" จิตส่งออกนอกคือสมุทัย มีผลเป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ "

ธรรมใดก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ

 

9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ

 

รถติด งานล้น ลูกค้าขี้วีน เจ้านายขี้บ่น เพื่อนร่วมงานขี้นินทา

สถานการณ์ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเร้าให้สติของชาวออฟฟิตอย่างเราๆ หลุดกระเจิงแทบทุก 5 นาที

และด้วยเหตุที่ครึ่งค่อนข้างชีวิตของเราๆท่านๆ ต้องอยู่กับงาน

จึงไม่รอช้าที่ให้พวกเรามาฝึกเทคนิคเรียกสติให้กลับคืนมาในระหว่างวันทำงาน

เพราะเมื่อสติกลับคืนมา   ปัญญาที่จะสร้างสรรค์งานให้มีคุณภาพก็จะตามมาทันทีโดยไม่ต้องสงสัย

 

1.       ไฟแดง   ไฟแห่งสติ     : สิ่งแรกที่ทำให้สติของชาวออฟฟิศขาดกระเจิงพร้อมกับอารมณ์ที่ขุ่นมัวตามมาเห็นจะเป็นการจราจรที่แสนจะติดขัด ยิ่งวันไหนที่ต้องติดไฟแดงแทบทุกแยกด้วยแล้ว มันหนีไม่พ้นที่จะบ่นกับตัวเอง ว่า วันนี้ต้องเป็นวันซวยอย่างแน่นอน ทางออกก็คือ ต้อง เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ลองใช้ไฟแดงเป็นเครื่องมือเตือนสติดู   ติดไฟแดงครั้งใดก็ให้หยุดดูความหงุดหงิดของตัวเองพร้อมดึงสติมาจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ คราวนี้กว่าจะถึงออฟฟิศ เชื่อได้เลยว่าคุณจะมีสติพร้อมยิ่มรับกับทุกเรื่องที่กำลังรออยู่แล้ว

 

2.       ตั้งจิตอธิฐานก่อนเริ่มงานทุกวัน   : เมื่อมาถึงที่ทำงาน สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่การเริ่มงานอย่างลุกลี้ลุกลน แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ   หาเวลาสัก 5 นาทีเพื่อทำใจให้สงบ จากนั้นตั้งจิตให้มั่นแล้วนึกถึงธรรมะที่ต้องการน้อมมาปฏิบัติ เช่น เมื่อวานขี้เกียจไปนิด วันนี้ต้องตั้งใจทำงานด้วยความเพียร   การตั้งจิตอธิษฐานไม่ได้หมายถึงการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อช่วยให้ทำงานสำเร็จ   ทว่าการอธิษฐานเป็นการเตือนใจไม่ให้พลัดหลงไปกับอารมณ์และความเร่งรีที่จะมาบั่นทอนจิตใจการทำงานนั่นเอง

 

3.       ล้างจานเพื่อล้างจาน :   การทำงานไม่ว่าอาชีพไหนก็สามารถเจริญสติขณะทำงานได้เช่นกัน   เพราะการเจริญสติดในที่ทำงานหมายถึงการดึงจิตใจให้อยู่กับงาน   รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ จะล้างจานก็รู้ว่าล้างจาน ถูบ้านก็รู้ว่ากำลังถูบ้าน   คิดเรื่องอะไรก็ใช้สติอยู่กับเรื่องนั้นๆไม่กังวลกับอดีตที่ผ่านไปแล้วหรือพะวงอยู่กับอนาคตที่ยังไม่ถึง   ข้อดีของการเจริญสติตลอดเวลาที่ทำงานนั้น นอกจากจะทำให้งานสำเร็จแล้ว ยังทำให้ทำงานด้วยความผ่อนคลายโปร่งเบา   เพราะจิตใจไม่ ขยะ ให้ต้องแบกรับ

 

4.       ตามลมหายใจไปกับเสียงโทรศัพท์   :   เคยไหมขณะกำลังทำงานอยู่เพลินๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากลูกค้าขี้วีนที่สุดเข้ามาทำให้อารมณ์ขุ่นมัวตั้งครึ่งค่อนวัน และเมื่อมีโทรศัพท์เข้าอีกครั้ง ( แม้จะไม่คนเดิมก็ตาม ) คราวนี้เราก็พร้อมจะระเบิดความขุ่นมัวเผื่อแผ่ไปให้ปลายสายอย่างไม่ยั้งคิด ซึ่งผลลัพท์ที่ได้ แน่นอนว่ามีแต่เสียมากกว่า เผลอๆอาจทำให้เราต้องเสียลูกค้าดีๆไปโดยไม่ได้คาดคิด   ทางออกนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มี ขอแนะนำให้ใช้โทรศัพท์นี่แหละเป็นเครื่องมือเรียกสติ   โดยก่อนรับสายให้ค่อยๆตามลมหายใจเข้า ออกช้าๆ 3 ครั้งเพื่อให้อารมณ์สงบนิ่งบางคนอาจใช้อุปกรณ์เสริมอย่างเช่นกระจกบานเล็กๆวางใกล้ โทรศัพท์ ขณะคุยอาจยิ้มน้อยๆไปด้วย การมองตัวเองในกระจกช่วยให้ไม่เผลอส่งอารมณ์โกรธไปถึงคนปลายสายโดยไม่รู้ตัว

 

5.       เจริญสติด้วยคำวิจารณ์   : การทำงานกับการวิพากษ์วิจารณ์เป็นสิ่งที่คู่กัน   แต่หลายคนมักสติหลุดเพียงเพราะถูกวิพากวิจารณ์ ดังนั้นสิ่งที่ต้องท่องให้ขึ้นใจเมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์คือ เราเอาปัญญาออกหน้า หรืออัตตาออกหน้า หากเอาปัญญาออกหน้าจะเกิดคำถามในใจว่า ฉันผิดพลาดตรงไหน   แต่หากเลือกอัตตาก็จะมีประโยคหนึ่งตามมาคือ แกทำให้ฉันเสียหน้า  

สุดท้ายถ้าเราพยายามเตือนตัวเองให้ใคร่ครวญแต่้อผิดพลาด ความทุกข์ ความรู้สึกเสียหน้าก็จะมาไม่ถึงเหมือนอย่างที่

คุณเล็ก ประไพ วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณมักเตือนตัวเองเสมอว่า วันไหนไม่ถูกตำหนิวันนั้นเป็นวันอัปมงคล

เพราะนั่นหมายถึงมีแต่คนสรรเสริญเยินยอจนหลงลืมตัว ซึ่งนำไปสู่ความเสื่อมในที่สุด

 

6.       เจริญสติด้วยคำนินทา :   หลายคนค งจะเคยเจอปัญหาที่แก้เท่าไหร่ก็แก้ไม่ตก นั่นคือคำนินทา   ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็อาจทำหลายคนเกิดอาการเครียดไปตามๆกัน ทางที่ดีที่สุด แม้เราจะห้ามคนนินทาไม่ได้   แต่เราก็สามารถห้ามใจไม่ให้คิดตามจน จิตตก ได้ และหนึ่งในวิธีที่ได้ผลชะงัด คือ การมองโลกในแง่ดี คิดเสียว่าที่เขานินทาคือการเตือนทางอ้อมให้เราได้แก้ไขปรับปรุงในเรื่องที่เรายังบกพร่อง

เวลาที่เราได้ยินเสียงนินทาให้ถือเสียว่าเป็นระฆังแห่งสติที่จะเตือนให้เราหันกลับมามองตัวเอง สิ่งไหนจริงก็ปรับปรุงแก้ไข   สิ่งไหนไม่จริงก็ปล่อยให้ผ่านไปที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องคิด พูด และทำแต่สิ่งดีๆ เพื่อจะได้ไม่หวั่นไหวไปกับคำนินทาไม่เป็นความจริง

 

7.       สร้างทางเดินแห่งสติ : ปัญหาอย่างหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมมักใช้เป็นข้ออ้างเมื่อการปฏิบัติไม่คืบหน้าคือ   ไม่มีเวลา   ไม่มีสถานที่จะฝึกฝน เราจึงขอเสนอเส้นทางเดินแห่งสติในที่ทำงาน เริ่มตั้งแต่ลานจอดรถ   ขั้นบันได ทางเดินไปห้องน้ำ และที่จะขาดไม่ได้คือ ทางเดินไปห้องเจ้านาย แม้ทางเดินเหล่านี้จะเป็นระยะทางสั้นๆเพี่ยงไม่กี่ก้าว แต่หากเราเดินด้วยความรู้สึกตัว มีสติในทุกย่างก้าว   ซ้ายก็รู้ ขวาก็รู้ ขึ้นบันไดก็รู้ ไม่เผลอคิดฟุ้งซ่าน ถ้าทำได้อย่างนี้ สติจะไม่อยู่กับเราขณะทำงานก็ให้รู้ไป

 

8.       พักยกด้วยระฆังแห่งสติ :   สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิตที่งานยุ่งจนไม่มีแม้แต่เวลาจะดูนาฬิกา   ขอแนะนำให้ใช้บริการระฆังแห่งสติเป็นผู้ช่วย   ระฆังแห่งสตินี้อาจจะใช้โทรศัพท์มือถือในการตั้งเวลาปลุกทุกครึ่งชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมง เคล็ดลับคือ เมื่อได้ยินเสียงระฆังแ ล้วให้วางมือจากการทำงานและกลับมาอยู่กับลมหายใจทันทีสัก 3 ลมหายใจ จากนั้นจึงค่อยทำงานต่อ เท่านี้สติก็อยู่กับตัวได้ตลอดทั้งวันแล้ว

 

9.       ซ้อม สอบ ในที่ทำงาน : จริงอยู่ว่าในการทำงานย่อมมีอารมณ์หลากหลายเข้ามาปะทะอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห อิจฉา ริษยา แต่จริง ๆ แล้วอารมณ์เหล่านี้ใช่ว่าจะเป็นผลร้ายกับเราเสียหมด   ตรงกันข้ามอารมณ์หลากหลายที่เราต้องเผชิญในที่ทำงานคือ บททดสอบที่ดียิ่งใน วิชาสติ   ดังนั้นขอให้ใช้บททดสอบเหล่านี้ ดูว่าเราสามารถควบคุมอารมณ์ใม่ให้วูบวาบไปตามสิ่งที่มากระทบและเรียกสติมาช่วยได้ทันหรือไม่ หากเผลอก็ถือว่าสอบตก ต้องรีบสอบซ่อมและทำให้ดีกว่าเดิมในครั้งต่อไป

 

  คนเราต้องทำงานเกือบทั้งชีวิต   หากเราหมั่นฝึกใช้สติควบคู่ไปกับทำงานก็เท่ากับเรามีโอกาสฝึกปฎิบัติธรรมกันตลอดชีวิตเลยทีเดียว

 

ความเห็น

ขอขบคุณมากค่ะ คุณอ้วน นอกจากแบ่งปันของคุณอ้วนยังได้แบ่งปันสิ่งดีๆ ให้นำมาปฏิบัติ แม้ปฏิบัติได้เพียงข้อเดียวก็ดีมากค่ะ ฝากขอบคุณต้นฉบับมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

เจริญสติบ่อยๆ อยากให้สติเจริญกว่านี้ เวลาวุ่นๆ แล้วสติแตกประจำ ต้องเก็บไว้อ่านค่ะ

 

มีสติรู้ตลอดเวลา  จะทำการสิ่งใดก็มักสัมฤทธิ์ผล เพราะการนั้นได้ไตร่ตรอง

ดีแล้ว,ไตร่ตรองโดยชอบแล้ว

แบ่งปันน้ำใจส่งต่อกันไป ....ไม่รู้จบ

ผมทำข้อ4ไม่ผ่านเลยครับ ตกใจทุกที ไม่รู้สติไปไหนครับ ส่งงานให้หัวหน้าไปเลยดีกว่า รับมือไม่ไหว กลายเป็นผมจะร่วมสร้างปัญหาแทน

เคยสังเกตุมั้ยออกจากบ้านถ้าติดไฟแดงแรก  ไฟแดงต่อไปก็ต้องติด  คิดไปเองหรือเปล่าเนี่ย 555  แต่ก็ดีนะจะได้หัดเป็นคนอดทน  อดกลั้น

ข้อมูล ดี มาก ครับ คุณ อ้วน

" จิตส่งออกนอกคือสมุทัย มีผลเป็นทุกข์ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ "


เป็นเช่นนั้น สาธุ

***Sweet pea***

ขอบคุณครับ

ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง

ขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่มาแนะนำให้เสมอค่ะ

จะพยายามทำ  แต่บางครั้งก็อาจหยุดยั้งไม่อยู่ เพราะมีสิ่งมากระทบรวดเร็ว แล้วก็ตอบโต้ทันที สติแตกไปแล้ว


มาคิดย้อนหลัง แล้วก็ ไม่น่าเลยยย...

หน้า