กอดป่าหน้าฝน # 2 ...หล่มสัก-ทุ่งแสลงหลวง

หมวดหมู่ของบล็อก: 

วันที่สอง  หล่มสัก-  ทุ่งแสลงหลวง

เช้าแรกของทริป  ฉันแอนด์เดอะแกงค์ตื่นขึ้นมารับลมฝนที่หล่มสักด้วยความสดชื่นกันทุกคน  พร้อมที่จะลุยกับทุกสิ่งที่จะเจอข้างหน้า เวลา 9.00  น  รถตู้ใหม่เอี่ยม แอร์เย็นฉ่ำ  พร้อมโชว์เฟอร์ใจดีที่รู้ทุกเส้นทางเพราะเป็นคนในพื้นที่นี้เอง  เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการเดินทางไกลในครั้งนี้    เจ้าภาพเสนอให้ขนมจีนหล่มเก่าเป็นอาหารมื้อเช้า  นับว่าเป็นของแปลกสำหรับเพื่อนๆชาวเกาะทีเดียว     ขนมจีนหล่มเก่าจะเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาสำหรับคนที่ผ่านมาแถวนี้แทบทุกคนค่ะ เรียกว่าใครมาเที่ยวหล่มสัก เขาค้อแล้วถ้าไม่ได้ชิมขนมจีนหล่มเก่าก็เหมือนกับมาไม่ถึงยังไงยังงั้นแหละค่ะ 

     แต่พูดก็พูดเถิดนะคะ  สำหรับคนเมืองลุงอย่างฉันที่ได้มีโอกาสตระเวณชิมไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำบ้างแล้วนั้น    ขอยืนยันว่าขนมจีนแกงเผ็ดที่บ้านตำนานของเรา แซ่บบบบบกว่าเป็นไหนๆค่ะ   (พูดแบบนี้  ครั้งหน้าจะได้มาหล่มฯมั้ยเนี่ยะ   !!! ฮ่า ฮ่า ฮ่า )

หลังจากเสร็จจากขนมจีนด้วยสีหน้าที่อธิบายยากของเพื่อนในกลุ่มบางคนแล้ว   อาจจะเพราะไม่คุ้นกับน้ำแกงที่มีตั้ง 5  หม้อ  และบางหม้อต้องปรุงรสด้วยน้าตาลให้รสชาติเหมือนก๋วยเตี๋ยวอีกด้วย  จึงเป็นที่กังขาว่าตกลงเราจะกินขนมจีนหรือก๋วยเตี๋ยวกันแน่  (ฮา)     ก็ขึ้นมาจับจองที่นั่งบนรถตู้ซึ่งเลือกที่นั่งได้อย่างสบายใจ  พวกเราทั้งหมดก็มุ่งหน้าขึ้นไปทางเขาค้อตามเส้นทาง หล่มสัก –พิษณุโลก ที่เขาให้ฉายาว่า  สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย     จุดหมายปลายทางของเราวันนี้คือ  ทุ่งแสลงหลวงค่ะ   เพราะเราได้จองบ้านพักของทางอุทยานไว้ก่อนแล้ว    การมาเที่ยวป่าหน้าฝน ที่ใครๆเขาไม่ทำกันก็ดีไปอย่างค่ะ   คือเราสามารถจองบ้านพักได้ง่ายดายโดยที่ไม่ต้องไปแย่งกับใครและราคาก็ถูกด้วย   หากเป็นช่วง ไฮซีซั่น   เราคงจองบ้านพักไม่ได้เพราะเส้นไม่ถึง (เกี่ยวกันไหมเนี่ยะ  ?)  

ก่อนออกเดินทางไปทุ่งแสลงหลวง   เราก็ไม่ลืมที่จะแวะตลาดหาซื้ออาหารสำหรับทำแคมปปิ้งในคืนนี้ด้วย  เพราะบนวนอุทยานจะไม่มีร้านอาหารไว้บริการแขกที่มาพัก  การเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไปเองจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งค่ะ   เมื่อเสร็จจากเถลไถลที่ตลาดแล้ว   โชว์เฟอร์ใจดีก็พาเราไปไหว้พระธาตุที่วัดผาซ่อนแก้วก่อนอื่นใดทั้งหมด    วัดผาซ่อนแก้วที่ฉันได้ไปเยือนเมื่อปลายปีที่แล้วกับวันนี้แตกต่างกันเยอะค่ะ  ตอนที่ฉันไปนั้นกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างจึงยังไม่มีกฎระเบียบอะไรมากนัก   แต่พอมาวันนี้ ทางวัดเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมได้อย่างเป็นทางการแล้ว    จึงมีกฎห้ามนำรถขึ้นไปด้านบน เพราะทางขึ้นค่อนข้างชันและแคบ และแน่นอนคนที่ใส่กางเกงขาสั้นห้ามเข้าไปในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ค่ะ  ซึ่งเรื่องนี้ฉันเห็นว่าดีและมีคุณค่ามาก  เพราะถือว่าเป็นการให้เกียรติสถานที่ ซึ่งก็คือวัด   และชาวพุธเราก็นับถือให้เป็นศาสนสถานที่เราเข้าไปกราบไหว้บูชาเพื่อความเป็นศิริมงคล    นักท่องเที่ยวหรือใครก็ตามที่จะเข้าไปในสถานที่เหล่านี้  ก็ควรให้เกียรติสถานที่ด้วยจริงไหมคะ 

 ออกจากวัดผาซ่อนแก้ว   รถตู้พาเราขึ้นเขาค้อ ทุกคนนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยอาการตื่นเต้น   สักพักเดียวก็จะได้ยินเสียงฮือฮาของสมาชิกในกลุ่มที่ชี้ชวนให้ดูวิวข้างทางที่แปลกตาออกไปจากที่เคยเห็นมาตามเกาะแก่ง   เราแวะถ่ายรูปที่จุดชมวิวต่างๆ   และไปไหว้พระธาตุกาญจนาภิเษกที่บนเขาค้อกันค่ะ   ที่นี้อีกเช่นกันที่ฉันเคยมาเมื่อหน้าหนาวซึ่งตอนนั้นนักท่องเที่ยวเยอะแยะละลานตา แย่งกันเข้า แย่งกันไหว้พระดูวุ่นวายไปหมด แต่มาวันนี้สบายใจมากค่ะ   เพราะมีกรุ๊ปเรากรุ๊ปเดียว  ที่เหลือก็เป็นนักท่องเที่ยวหรือผู้ผ่านทางแค่คนสองคนที่แวะมาสักการะพระธาตุเพื่อขอพร    และเสี่ยงโชค (ด้วยการซื้อล๊อตเตอรี่ที่ขายอยู่ข้างหน้า)    

ออกจากพระธาตุเราแวะแก่งบางระจันทน์กันค่ะ   ที่นี้ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาล่องแก่งกันในหน้าน้ำหลาก     แต่ช่วงนี้น้ำยังไม่เยอะพอแก่งนี้จึงเงียบและเหงา   เท่าที่เห็นก็มีเพียงเรา  ศาลา และป่าไผ่รวกที่ลำต้นสมบูรณ์จนเอนลู่เข้าหากันเป็นอุโมงค์ไผ่ให้ฉันตื่นเต้นและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วยคะ    อีกสิ่งที่น่าประทับใจสำหรับฉันก็คือ ต้นยางใหญ่ริมแก่งค่ะ    อายุอานามเท่าไหร่ฉันไม่รู้   แต่เห็นเครื่องบูชาต่างๆที่อยู่รายล้อมทั้งสร้างเป็นศาลเพียงตาและผ้าแพรเจ็ดสีก็มี  มองมาอีกนิดเจอป้ายที่ทางการแปะเอาไว้ตัวเบ้อเริ่มว่า  “ กรุณาอย่าทำร้ายต้นไม้ “  แต่ร่องรอยของแป้งและรอยขูดเปลือกไม้ก็ยังมีเห็นอยู่นะคะ   พวกเราจึงสรุปกันว่า  คงจะแม่น  !   แต่มิมีใครกล้าขูดค่ะ    

   ออกจากแก่งบางระจันทน์ ก็นั่งชมวิวมีทิวทัศน์สองข้างทางที่เป็นเนินเขาสูงต่ำสลับกันไป ชาวบ้านทำไร่ข้าวโพดบ้าง ข้าวไร่บ้าง   มองไปทางไหนก็เห็นภูเขาสีเขียวสุดลูกหูลูกตา   ในระหว่างนี้พวกเราสาวใต้ก็พากษ์เสียงในฟิลม์กันแบบไม่เกรงใจเจ้าภาพซึ่งฟังรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง     เครื่องสแกนทองแดงของฉันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเชียวค่ะ     มีคำศัพท์หลายคำที่เราเอามาถถกันบนรถเพื่อแลกเปลี่ยนกันระหว่างสาวเมืองคอน     ฉัน  และสาวตรัง    ซึ่งได้ข้อสรุปว่า  ฟากฝั่งอันดามันมีอะไรต่างกับฝั่งอ่าวไทยเล็กน้อย    อย่างเช่นคำว่า  “พรุน”  ก็คือ “โคม”  บ้านฉันซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับ  “กะละมัง”  ที่ชาวหล่มเขาเรียกกัน   แต่คำว่า ‘คง’  ซึ่งก็คือข้าวโพด   เราเรียกเหมือนกันค่ะ คือ  ‘ไร่คง ‘ !!!

กว่าจะถึงที่พัก  ฉันจดคำศัพท์ได้หลายคำค่ะ    ทั้งชื่อเรียกผลไม้ที่สูญพันธ์ไปแล้ว   เช่น  “กำชำ”   อันนี้ไม่รู้จักจริงๆ   ฉันขอรวบรวมคำศัพท์พื้นเมืองเหล่านี้มาถามเซียนคำใต้ในโอกาสต่อไปดีกว่านะคะ   

เรามาถึง วนอุทยาแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงเวลาประมาณ  4  โมงเย็นค่ะ       แต่สี่โมเย็นในป่าหน้าฝนเช่นนี้เหมือนกับหกโมงที่พื้นราบก็ว่าได้   สภาพแวดล้อมมีแต่ต้นสนใหญ่ยืนเรียงรายสลับกันไปมา และที่มองเห็นลิบๆนั่นก็คือทุ่งหญ้าที่เหมาะสำหรับนักสำรวจที่ชอบความตื่นเต้นขี่โฟว์วีลเข้าไปส่องสัตว์กัน    แต่ถ้าเราจะให้เจ้าหน้าที่เป็นไกด์นำทางก็ได้นะคะ   เขาจะพาเราเข้าไปตอนเช้า คิดค่าใช้จ่ายเป็นคันรถค่ะ   คันละ   800  บาท   แต่พวกเราขอบายค่ะ  เพราะไม่รู้ว่าจะเข้าไปดูอะไร 

สาเหตุที่เราขอบายเรื่องข้างต้นนั้น   อาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์ตรงป้อมหน้าทางเข้าวนอุทยานก็เป็นไปได้ค่ะ    ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าป่าไม้ ง่วง เหงา เศร้า เซ้ง  มาจากไหน   หรือเป็นเพราะนักท่องเที่ยวน้อย   ท่าทีก็เลยไม่กระฉับกระเฉง หรือว่าพวกเราเป็นมนุษย์พันธ์ใหม่ที่เขาไม่คุ้นเคย  เพราะเจ้าหน้าเหล่านั้นที่มองหน้าพวกเราด้วยสายตาแปลกประหลาดประหนึ่งว่าเราจะมาปล้นอุทยานก็มิปาน เราจึงไม่กล้าที่จะเข้าป่าไปกับเขา กลัวเขาพาเราไปทำปุ๋ย  !!!  เจ้าหน้าที่ที่ป้อมบอกให้ลงไปจ่ายเงินค่าธรรมเนียมที่ตู้ยามด้านล่าง      ทีมเราได้ส่งสาวน้อยที่พูดน้อยที่สุดลงไปเพราะเธอนั่งใกล้ประตูรถมากที่สุด   จ่ายค่าธรรมเนียมเสร็จ   ก็แวะมารับกุญแจที่ที่ทำการ    และที่ตรงนี้เจ้าหน้าที่ก็แนะนำให้เราเช่า เตา ซื้อถ่าน  และตะแกรงปิ้งย่างเข้าไปด้วย  ไอ้อย่างอื่นก็ไม่ว่ากันะคะ    แต่อยากบอกให้ทราบว่าถ้าใครจะไปพักที่นี่  กรุณาหาซื้อตะแกรงปิ้งย่างที่เป็นของตัวเองเข้าไปด้วยนะคะ   หากมิฉะนั้นแล้วท่านอาจจะต้องฉีดยาแก้บาดทะยักไม่รู้จะกี่เข็มถึงจะปลอดภัยจากสนิมที่อยู่บนตะแกรง  

 ได้อุปกรณ์เข้าบ้านพักแล้ว   โชว์เฟอร์ก็พาเราวนเข้าไปด้านในตามลายแทงที่ได้รับมา คือเลี้ยวขวา  แล้วก็ขาว  แล้วก็ขวา    แต่ก่อนที่เราจะผ่านขวาที่สอง  ซึ่งตรงนี้เป็นสี่แยกค่ะ   มีเจ้าหน้าที่สวมชุดกรมป่าไม้ยืมทำหน้าปั้นยาก (อีกแล้ว) อยู่ท่านหนึ่ง    เห็นรถเราแล้วก็ไม่เห็นว่าอะไร   ได้แต่ส่งสายแต่ประหลาดใจเข้ามาในรถคล้ายจะสำรวจว่าพวกเราติดอาวุธครบมือกันมาหรือเปล่า  (แก๊งค์นี้มีแต่น้ำตาเป็นอาวุธจ้า)   เราก็ขับวนขวาตลอดแต่ไม่เจอบ้านหลังที่เราจองไว้   แต่เรามาเจอเจ้าหน้าที่ที่สี่แยกนี้อีกครั้ง   คราวนี้ท่านเอ่ยปากได้แล้วค่ะ   ถามโชว์เฟอร์ของเราว่า  ติดต่อด้านหน้ามาหรือยัง  ?    ....แหมมม     ถามมาด้ายยยยย    ถ้าไม่ติดต่อแล้วเดี๊ยนจะเข้ามาได้หรือจ๊ะพ่อคู๊ณณณณณณ  !   (อันนี้คิดในใจค่ะ)   แล้วพี่ท่านก็กระโดดขึ้นรถตู้มาด้วย บอกว่าจะพาไป  (ก็ถ้าพามาตั้งแต่แรกเรื่องมันก็คงจบไปแล้ว)  

พอขึ้นรถได้ยินเสียงซาวด์แทรคของพวกเราเข้า   พี่เค้าก็บอกว่า   เค้าเป็นคนพัทลุง  !!!   เท่านั้นแหละ     เพื่อนๆหันมามองหน้าฉันเป็นตาเดียว   คล้ายๆกับจะบอกว่า  เห็นมะๆ   คนพัทลุงมันแค๊กอีตาย !   เฮ้อ...   

อากาศเริ่มมืดคึ้มลงทุกที   สุดท้ายฝนก็เทกระหน่ำลงมาไล่ให้พวกที่แคมปิ้งอยู่ที่ลานกลางแจ้งหอบข้าวของหนีฝนกันอลหม่าน   ทุกสิ่งอย่างถูกรวมเข้ามาอยู่ในบ้านพัก   รวมทั้งเตาปิ้งย่างที่ควันกำลังคละคลุ้งได้ที่   บ้านทั้งหลังกลายเป็นเตาย่างรมควันไปพริบตา   แต่ไม่มีใครบ่น   เพราะอยากมาเที่ยวป่าหน้าฝนกันเองนี่    ....

 กว่าจะได้กินบาบีคิวปิ้งย่างฝีมือเราเองก็แสนจะทุลักทุเล  กินไป จิบไป  เม้าท์ไปซึ่งก็ใม่พ้นพี่ชาวพัทลงคนนั้นหรอกค่ะ    พี่โดนไปเต็มๆ    เขายิ่งหาว่าคนพัทลุงเข้าใจยากอยู่ด้วย   มาเจอแบบนี้เข้าเท่ากับเป็นการตอกตะปูฝังหัวไปเลยว่าคนพัทลุงเข้าใจไม่ง่ายจริงๆ   

 บรรยากาศในที่ร่มชื้น แคบและแออัดเช่นนี้ ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการลับสมองมั้งคะ      พรรคพวกที่รวมกันได้สี่ขาพอดีก็จัดการปูผ้า หามุมที่ตัวองถนัด   แล้วก็ลงมือเรียนวิชาคำนวณทั้ง แจ๊ค แหม่ม คิงกันอย่างขมักเขม้น   ส่วนเราเริ่มเครียดตั้งแต่มองไม่เห็นเส้นสัณญานทรูบนมือถือแล้วค่ะ     เพราะนั่นหมายความว่า   คืนนี้อีกหนึ่งคืนที่เราจะขาดการติดต่อกับโลกภายนอก   net ของ detac  ก็ยังใช้การไม่ได้   มือถือก็เดี้ยงสนิท    แต่เป็นไงเป็นกัน ให้มันรู้ไปสิว่าการอยู่อย่างไม่ต้องติดต่อใครนั้นมันจะอิสระแค่ไหน     ฉันจึงไปอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอน และได้มาบันทึกค่ำคืนนี้ที่ทุ่งแสลงหลวงค่ะ

 

บ้านพัก

ดอกอะไรมิรู้ สีสวยดี 

ดอกไม้จีนมีทั้งตูมและบาน

ดอกนี้ก็สีสาวย  ถ่ายที่ระเบียงห้องพัก

ความเห็น

ดอกไม้สีส้ด สด :waiting: :waiting: :waiting:

น่าจะถ่ายรูปน่าตาขนมจีนให้ดูหน่อยนะ..เผื่อเรียกน้ำย่อยได้บ้าง

คิดให้แตกต่าง...แต่อย่าแตกแยก

ดอกไม้จีนดอกสวยจังเลยครับ

ถ่ายรูปสวยจังค่ะ :love:

^^อยู่กับความสุขที่พอเพียง^^

ดอกไม้สีสวยสดดีจังครับ  ชอบมาก ๆเลย...สียดายภาพน้อยไปหน่อยครับ..

 

ทางเส้นนี้ผมไปบ่อยครับ บรรยากาศสองข้างทางสวยจริงๆมีที่ให้เที่ยวเยอะครับ


ได้อ่านเรื่องสั้นตอนสองอ่านช้าๆเหมือนได้ไปด้วยมองเห็นภาพชัดมาก ที่ชอบมากๆคือ เครื่องสแกนทองแดง หน้าตาเป็นไงอ่ะ 55555 ต้องซื้อมาใช้บ้าง อิอิ

:dreaming: เป็นทุ่งที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป้น แสลงหลวงหรือทุ่งนางพญา เคยปั่นจักรยานลุยกันมา มันส์ สุดๆ

 

เป็นทริปท่องเที่ยวที่น่าสนุกมากมีเกมลับสมองด้วย ...อิอิ..

ชักชอบเจ้าของกระทู้แล้วสิ ถ่ายรูปสวยและเล่าเรื่องได้ดีมากๆเลย...555... :love: