คำถาม.....ตัวเอง
“ใครมีคำถามอะไรบ้าง...”
ที่ประชุมเงียบกริบ หลายคนก้มหน้าก้มตาประหนึ่งว่ากำลังค้นหาสัจธรรมชีวิตอยู่กับปลายร้องเท้าตัวเอง หลายคนหันช้ายหันขวาเหมือนกำลังเฝ้ารอคอยผู้กล้าหาญชาญชัยสักคนในการศึก เพื่อมาละลายก้อนแห่งประโยคนั้น เหมือนผู้หญิงที่เพิ่งถูกบอกรัก เขินอายมิกล้าสบตากับต้นเสียงอันอุ่นทุ้ม
ผมวางถ้วยกาแฟ หยิกยิ้มในใจ สังเกตอาการผ่านกระจกใสอยู่ข้างหลังห้อง ในฐานะคนขับรถและผู้เก็บเอกสารบรรยายของวิทยากร
แน่นอนครับเกือบจะร้อยทั้งร้อยไม่ว่าจะเรียน อบรม หรือสัมมนาที่ไหน ทุกคนแทบจะนั่งหลบหน้า มิกล้าแม้นแต่จะยกไม้ยกมือขึ้นเกาหัว เพราะกลัวๆว่าต้นเสียงเห็นแล้วจะปลุกเชิญมาตั้งคำถาม
และเกือบจะทุกครั้งเช่นเดียวกันที่คำถามเหล่านี้ มักจะถูกจัดวางไว้ในช่วงท้ายปลายรายการ ประหนึ่งลูกเมียน้อยที่ขาดความอบอุ่น ขาดความสลักสำคัญ เป็นเพียงแค่เครื่องเคียง จัดแต่งพอประมาณแค่หอมปากหอมคอ หลังจากที่ผู้ทรงภูมินั้นๆได้ใช้เวลาในการสื่อสารทางเดียวจบไปแล้วอย่างเข้มข้น เหมือนมีธงคำตอบของคำถามล่วงหน้าไว้แล้วในใจ คงจะไม่มีคำถามอะไรมากมายจากปากของผู้รับฟัง และยิ่งเป็นผู้บรรยายประเภท "ฉลาดลึกซึ้งแต่โง่วงกว้างแล้ว" แทบจะใช้เวลาให้หมดเต็มทั้งคาบที่ได้มากันเลยที่เดียว ด้วยการบอกบ่งกระทำอย่างดูดีอย่างมีชั้นเชิงว่า โอ้..คุ้มค่ากับเวลาที่ถูกจ้างมาให้บรรยายจริงงงๆ หากแต่เนื้อแท้ลึกๆแล้ว เสียวครับ กลัวว่าใครจะตั้งถามนอกประเด็นเรื่องที่บรรยาย ซึ่งอาจจะพบอยู่บ้างในบางงาน
แต่ขณะเดียวกันในมุมข้างล่างอย่างผู้ฟัง หากจะมีใครสักคนที่พอจะกินดีหมีควายตัวโตมาบ้าง ลุกขึ้นไถ่ถาม ไม่ว่าคำถามนั้นจะเพื่อตัวเองหรือในภาพรวม คนๆนั้นก็เปรียบประดุจหน่วยกล้าตายขององค์กรกันเลยทีเดียว ปะปนกับเสียงชื่นชมยกย่อง แน่นอนย่อมมีภาพร่วมของพลังงึมงำในใจรวมอยู่ด้วย สายตาของผู้ร่วมฟังจะหันขวับมายังผู้ตั้งคำถามในหลากอารมย์หลากความสนใจ ประหนึ่งว่าจะเป้นผู้ตอบเสียเอง มันยังโง่อยู่ หรือมันบ้ากันแน่ ไม่ได้ฟังที่เขาบรรยาย ดอกหรือ เรื่องง่ายๆแค่นี้ยังจะมาถามอีกให้เปลืองเวลาพักเที่ยง ปะปนโชกโชยบรรยากาศ ผ่านทางสีหน้าและแววตา
ทำไมไม่ใช้คำว่า "ขอบคุณสำหรับคำถาม" นะ...แทนที่จะบอกกับเราว่า "เป็นคำถามที่ดีครับ" รู้สึกเหมือนผมไหมครับว่า นั่นคือ "คำชมที่ถูกภูมิถ่มทับ..."
มักจะเป็นแบบนั้นหลังจากที่เราถาม แต่คำถามที่ว่าดีนั้น มันดีกับใคร ดีกับเรา หรือดีต่อผู้ตอบเอง จนบางครั้งผมรู้สึกว่าความกล้าของเรา กลับกลายเป็นความงี่เง่าของตัวเองในสายตาคนอื่นไปเลย เพราะกรอบการเรียนรู้ในวัยเด็กหรือเปล่านะ ที่เราเอาผู้สอนเป็นตัวตั้งเป็นศูนย์กลาง เอาคำตอบที่ถูกตามแบบเท่านั้นเป็นดรรชนีชี้วัดคะแนนประเมินผล ส่วนความต่างที่แม้นจะเข้าท่า หากแต่ไม่เข้ารูปเข้ารอยกับรูปแบบที่ถูกต้อง คำตอบถูก แต่วิธีการผิด ที่คิดต่างมานั้น ก็จักถูกทำให้ผิดและตกไป
เหมือน แก้วใบใสที่ต้องนั่งรอว่าเมื่อไรใครจะเดินมาเติมน้ำให้บ้าง หากกำลังจะลุกขึ้นมา หยิบน้ำมารินใส่เอง ก็อาจจะถูกน้ำเต็มแก้วข้างๆหลีบมองอย่างตำหนิในใจ เบียดให้ไปอยู่ข้างขอบห้องและตกโต๊ะแตกกระจายในที่สุด
"ใช่....ถามก็โชว์โง่ หากไม่ถามก็แค่โง่เหมือนเดิม จะลุกขึ้นมาบอกคนอื่นทำไม ฉลาดหน่อยสิเรา"..หลายคนอาจจะรู้สึกแบบนั้น
สุจิปุลิ คือ หัวใจนักปราชญ์ ชีวิตเราได้ใช้สิ่งนี้ได้อย่างคุ้มค่าหรือเปล่า รูปแบบยัดเยียด สุ กับ ลิ มามากตั้งแต่วันที่เราเดินก้าวเข้าสู่ระบบ ชัดชินจนชาสมอง เรียงร้อยเพื่อคล้อยตาม หลงลืมว่ายังมีอีกสองตัวที่ไม่ค่อยได้หยิบมาปรับใช้ ไม่มีใครมาห้าม จิ เราได้ เช่นเดียวกันหากเราจะ ปุ ตัวเองให้มากขึ้น ใครที่ไหนจะมาว่าอะไรเรา
เป็นตะกอนผลึกแห่งการฟังฝ่ายเดียว ที่ยึดโยงอย่างเหนียวแน่นและยืนยาว ผ่านส่งต่ออดีต ตกทอดต่อท่อมาจนปัจจุบัน แบบอำนาจนิยม
คนมีปัญญาดูได้จากการเอ่ยคำถาม มิใช่การแค่นั่งฟังคำตอบ เมื่อเรารู้จักตั้งคำถามเป็น ชีวิตก็จะหาคำตอบและเรียนรู้เป็น โชคดีที่หลายคนค้นพบทางออกด้านนี้แล้วและเดินตามความถนัดของตัวเอง แต่อีกอื่นหละ....
เราถูกตั้งคำถาม เพื่อตอบโจทย์คนอื่นมานานแล้ว ถึงเวลาหรือยังนะ ที่เราจะเริ่มต้นมาหัดตั้งคำถามของเราเอง เพื่อที่จะตอบโจทย์ปัญหา ปัญญาของเราเอง เราจัดให้คนนอนเรียงแถวเท้าเสมอกันได้ หากแต่ไม่มีทางที่จะจัดทำให้ทั้งหัวและเท้าของทุกคนนอนเรียงเสมอเท่ากันได้ คำตอบจากคำถามของคนอื่นย่อมแตกต่าง แตกต่างจากคำตอบในคำถามของเรา
ชีวิตของคนเราส่วนหนึ่ง เดินและพัฒนาได้ด้วย คำถาม และกระบวนวิธีการซึ่งให้ได้มาซึ่งคำตอบของคำถามนั้น ก็เพื่อตอบโจทย์ตัวเอง ตอบความต้องการของตัวเอง และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าเราได้มีส่วนในการตอบโจทย์ของสังคม
ชีวิตไม่เคยหมดเวลาสำหรับคำถาม และคำถามนั้นจะยังคงอยู่ แม้นว่าเวลาชีวิตนี้จะหมดลง คำถามที่อาจจะถูกคนอื่นนำไปปรับใช้ ให้เข้ากับสภาพของตัวเองที่ดำรง
จะเป็นอะไรไป จะสนใจคนอื่นทำไม ตัวคนอื่นอาจจะรู้หรืออาจจะรู้มากกว่าเรา แต่เรายังไม่รู้..นี่ เราไม่ได้ถามเพื่อคนอื่น แต่เราถามเพื่อตัวของเราเอง...
เริ่มต้นจากคำถามโง่ๆ เพื่อตอบความโง่ ของตัวเองก่อนสักข้อ...เป็นไร..
“ผมมีคำถามอะไรบ้าง...”
คำถามที่มีมา และหาคำตอบ(ด้วยและให้)กับตัวเอง
- บล็อกของ มานี มานะ วีระ ชูใจ
- อ่าน 4872 ครั้ง
ความเห็น
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 กันยายน, 2010 - 21:00
Permalink
โง่....
รู้ไหมครับว่า ระหว่างคนที่บอกคนอื่น กับคนที่ชอบถามคนอื่น
ใครจะก่อเกิดปัญญามากกว่ากัน ทายซิ..
อย่าตอบผมนะครับ แต่ตอบตัวเอง
ขอบคุณครับที่ทราบคำตอบแล้ว
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
ตองอู
12 กันยายน, 2010 - 16:19
Permalink
คำถาม..
อยากบอกว่าอ่านจนจบแล้ว...ก็เป็นอย่างที่คุณเขียนทุกอย่างเลยค่ะ โดนใจมากๆ
อ้อ..เพลงคุณป้อมเพราะดีค่ะ..ชอบ..^_^..
MSN/MAIL/HI5 : Tongau_oomsin[at]hotmail[dot]com
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 กันยายน, 2010 - 21:04
Permalink
เท้งกิ้ว...หลายๆ
หลายคนเห็นอักษรเต็มหน้า...รู้สึกทดท้อ...
แต่ตองอู บริโภคจนหมดคำ ต้องขอขอบคุณยิ่ง
แต่ระวังท้องจะเสียนะครับ
เพราะของแค่พื้นๆสามัญ
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
เจ้โส
12 กันยายน, 2010 - 18:06
Permalink
ถามมาก ....โง่มาก
บางทีถามมากไป ถามหลาย ๆ คำถาม คนไทยจะมองว่า...ทำไมโง่จัง เรื่องแค่นี้เอง ..ทำไมต้องถาม... แหะ แหะ
garden_art1139@hotmail.com
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 กันยายน, 2010 - 21:06
Permalink
ถามมาก โง่ไม่มาก
ประเด็นคือ ถามตัวเอง แล้วหาคำตอบที่เหมาะกับตัวเองครับ...
ไม่มีใครโง่ครับที่ถาม...แต่ไม่ถามสิ...
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
ชวิน
12 กันยายน, 2010 - 18:19
Permalink
ถูกใจมาก
ร้อยทั้งร้อย จะเป็นแบบที่ว่า แต่ที่ โรงงานผม เขาจะ ถามช่วงที่มีการ อบรบ หรือสัมนา
และจะมีการแจก รางวัล เล็กๆ น้อยๆ ถ้าคำถามและคำตอบ ถูกใจ รางวัลก็จะเป็น
ปากกาบ้าง ลูกอมยิ้มบ้าง สมุดบันทึกบ้าง หรืออาจจะชี้ตัวบุคคล เลย
ทำให้สนุก มีส่วนร่วมดี ครับ
พอเพียงเพื่อเพียงพอ
jabee_68@hotmail.co.th
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 กันยายน, 2010 - 21:10
Permalink
น่าสนุกนะครับ...
ผมมักจะเป็นนักเรียนหลังห้องเสมอ...
ก้พวกนักสังเกตบรรยากาศ
ทำเก็กมาดทรงภูมิเวลาเขาถามว่าใครมีอะไรส่งสัยไหม...
แต่เชื่อไหมครับ...ที่จริงแล้วไม่รู้อะไรเลย...
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
ตั้ม
12 กันยายน, 2010 - 19:18
Permalink
ถาม..ถาม..ถาม..
ในฐานที่เคยเป็นทั้ง trainer และ trainee อยากบอกว่าช่วงแรกของชีวิตการทำงานสมัยที่เป็น trainee ผู้เชี่ยวชาญที่สอนอยากให้ใช้เทคนิค PTT (มะใช่ ปตท.นะ แต่คือ Participative training technique) คือให้ผู้รับการอบรมมีส่วนร่วมในการอบรม ทั้งการถามตอบ การนำเสนอ การเล่นเกมส์ ฯลฯ เพื่อเข้าถึงพฤติกรรมและความเข้าใจในเนื้อหาและมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนในปัญหาที่พบเจอ ไม่ได้เป็นแบบ one way ประสบการณ์การเป็นวิทยากรของผมจึงไม่ชอบพูดคนเดียว และมีความสุขจากการที่ผู้อบรมมีส่วนร่วมด้วยกับเรา อาจจะด้วยการถาม ถามมาตอบไม่ได้ก็ไม่เห็นจะแปลก คนนะไม่ใช่เทวดาจะรู้ได้ทุกเรื่อง ก็บอกตรงๆว่าเรื่องนี้ต้องขอหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อมาตอบให้เคลียร์ของติดไว้ก่อน เจอบ่อยไปทำให้เป็นเรื่องตลกยังได้..
ในบทบาทของผู้เข้ารับการอบรม ผมก็ติดนิสัยนี้มาตลอด ไม่รู้ไม่เข้าใจก็ถามแต่ดูจังหวะ แต่หากคิดว่าคนส่วนใหญ่รู้แต่เราไม่รู้..ผมจะถามหลังห้องเป็นการส่วนตัวเพื่อไม่ให้ชาวบ้านเสียเวลาหรือรำคาญ ไม่เห็นด้วยก็แสดงความคิดเห็นบอกนี่อาจจะเป็นความเข้าใจผิดของผมก็ได้แต่อยากได้ความชัดเจนถูกต้อง แต่ไม่ใช่การหักหน้าผู้สอน ท่าทีน้ำเสียงและคำถามต้องไม่แข็งกระด้างและเป็นมิตรเป็นศิษย์ที่ใคร่รู้..หลายครั้งที่ประชุมกลุ่มย่อย ไม่มีใครกล้าออกนำเสนอ ผมก็จะเป็นคนอาสาเอง..สนุกดี..(ตอนนั้นอาจะเด็ก..แต่พอเป็นผู้ใหญ่ขึ้นก็เริ่มมีมาด)ผมคิดเสมอว่า..หากเสียเงินเสียเวลามาเรียนมาอบรม..ต้องรู้กลับไป..
ผมสอนลูกและเล่าเรื่องราวให้ลูกฟังว่า..พ่อเปลี่ยนงานและอัพเงินเดือนอย่างรวดเร็วมากส่วนหนึ่งก็มาจากการนำเสนอตัวเองแบบนี้โดยไม่ตั้งใจ หลังอบรมก็จะมีคนขอเบอร์ติดต่อ แล้วก็มีคนชวนไปทำงานที่ใหม่ด้วยค่าตัวที่ดีขึ้น สิบกว่าปีเปลี่ยนยี่สิบกว่าบริษัทโดยไม่ต้องเดินไปของานมีแต่คนชวนไปทำงาน
ผมสอนลูกเพื่ออยากให้ลูกกล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าทำ ถ้าคิดว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งเสียหายอะไร..ไม่จำเป็นต้องเหมือนหรือเอาอย่างคนอื่น..เหมือนคนขายสินค้า..สินค้าจะขายได้ดีหรือขายได้ราคา มันต้องเป็น differentiate product
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
มานี มานะ วีระ ชูใจ
12 กันยายน, 2010 - 21:18
Permalink
เอาไปใช้ได้
ถ้าเพื่อนแย่งกันพูดแข่งกันคุย...เราแค่นั่งนิ่งๆอย่างนักอมภูมิผู้เคร่งขรึม
ถ้าเพื่อนทุกคนต่างพากันมีฟอร์มเงียบเข้ม...เราจะเป็นคนสรวลเสเฮฮา ตลกจนขำกลิ้ง..
เชื่อไหม่ครับ ว่าผู้หญิงงามที่นั่งอยู่ด้วย ที่ทุกคนในกลุ่มต่างหมายปองอยู่....จะชอบใคร
มันต้องเป็น differentiate product ครับผม....
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
แก้ว กุ๊ก กิ๊ก
12 กันยายน, 2010 - 20:23
Permalink
ถามถามได้ แต่ชั้นไม่มีคำตอบ
มีมากมายหลายคำถาม ที่เราเองก็ตอบตัวเอง ยังไม่ได้ และแม้แต่เมื่อมีโอกาส ก็ไม่คิดจะหาคำตอบนั้น
ในฐานะของผู้ที่เป็นทั้งผู้รับการอบรม และเป็นผู้ให้การอบรม สิ่งที่เราพบเห็นบ่อยๆ ก็คือ คนถามมักถามไม่ตรงกับสิ่งที่ตนเองอยากรู้ เพราะกลัวเสียฟอร์มต่อหน้าคนอื่น บางทีคำถามก็วกวน จนตอบเองคงไม่ถูกใจในคำตอบอยู่ดี
ส่วนคำตอบนะหรือ เป็นบ่อยมากที่เราพบว่าคำตอบไม่ตรงคำถาม ตอบไปตามที่อยากจะตอบ แล้วสรุปว่าถ้าต้องการความละเอียดให้คุยกันหลังไมค์
อบรมก็ตาม ชีวิตก็ตาม มีคำถามและคำตอบแบบที่ว่านับไม่ถ้วน
ถ้าเราจะคุยกันในเรื่องนี้ให้เข้าใจ ก็ต้องคุยหลังไมค์ครับ คุณผู้ถาม
อิอิ
หน้า