เข็ม ต่าง รอ พอใจ
“หวัดดีครับหัวหน้า หวัดครับพี่รอง เป็นอย่างไรกันบ้าง”
ผมหันเหลือบมองไปยังต้นเสียงตัวเล็กๆ ผอมบางแต่น้ำเสียงชั่งแจ่มชัดเหนือโต๊ะข้างๆใกล้ๆกับผนังห้อง ผมเลือกที่จะเหลือบเงี่ยหูฟังการสนทนาโดยไม่รู้สึกกระดาก ตราบเท่าที่มารยาทของผม ยังคงถูกซ่อนไว้ได้อย่างมิดชิด และไม่คิดจะกลับนำออกมาใช้ในขณะนี้ คงจะอ้างได้ว่าเป็นไปเพื่อการฆ่าเวลาเช่นกัน หากตราบใดที่ยังหาเหตุผลที่สมบูรณ์กว่านั้นมิได้
ขณะที่ปากนั่งดูดจิบ “เอสเปรสโซ” เย็นๆบางๆ หูกับตาก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่มันรักมันชอบ นั้นก็คือการสอดรู้สอดเห็น
“หวัดดีน้องเล็กมาทานข้าวด้วยกันเลย มา” แทบจะพร้อมกัน
“เหนื่อยไหมวิ่งรอกมาทั้งวัน”
“ชีวิตผมก็เป็นแบบนี้หละครับ ตัวเล็กๆทำไงได้หละ ไม่ค่อยมีความสำคัญ ไม่เหมือนคนทำงานนั่งโต๊ะอย่างหัวหน้านี่นานๆจะเคลื่อนตัวที สบายๆ”
“แหมฟังดูเหมือนน้อยใจเลยนะ” พี่รองสวนคำขึ้นทันควัน ในขณะที่วางมือจากแฟ้มเอกสาร
“เราทุกคนก็สำคัญเหมือนกันหมดนั่นหละ” ก่อนขยายภาพต่อ
“ เพียงแต่บทบาทหน้าที่เท่านั้นที่อาจจะทำให้เราต้องต่างกัน”
“ใช่....แต่เราก็ต้องไปด้วยกันไม่ใช่หรือ องค์กรของเราจะขาดใครคนใดคนหนึ่งได้ไง จริงไหม” หัวหน้าตอกลิ้มเน้นย้ำ
“แหมเล่นซะทางการเลยนะพี่..ผมก็แค่แอบบ่นประชันนิดหน่อย ผมรู้หละน่า”
“นั่งๆๆ สั่งเลยจะทานอะไร” หัวหน้ากล่าวเชิญก่อนเสริม
“แค่จิบน้ำก็พอแล้วครับพี่ เดี่ยวผมต้องไปต่อ”
“เห็นไหม น้องได้โลดเล่น พบปะผู้คนมากมาย ในขณะที่พี่มี ตำแหน่งใหญ่ก็จริงแต่ก็อย่างว่าหละ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานทางการตามตามตารางเวลานัดชะมากกว่า รู้ไหมว่าการอยู่กับความคาดหวังของคนอื่นมันเป็นอย่างไร ทุกคนจะจ้องมองมาที่พี่ ผิดพลาดนิดหน่อย ก็อาจเป็นความเป็นความตายของพวกเราในองค์กรได้เลยนะ เรื่องนี้ถามน้องรองดูก็ได้ เค้านะ เจอมาบ่อยกว่าพี่”
“ใช่ พี่ใหญ่พูดถูก พี่ใหญ่นะเค้าคือผู้กำหนดทุกอย่างโดยภาพรวม แต่พี่คือตัวเดินงาน แต่ต้องสอดคล้องใกล้ชิดเทียบเคียง ผิดพลาดนิดๆหน่อยๆพี่นี่หละจะยื่นมีรับ พี่นี่หละจะโดนหนักสุดทุกที คล้ายๆ เหมือนเป็นหนังหน้าไฟประมาณนั้น ว่าก็ว่าเถอะ แต่ทุกอย่างจะเดินหน้าไปได้ก็เพราะน้องเล็กอีกนั่นหละที่สำคัญ ”
“จริงหรือครับ...” น้องเล็กผะเหยอยิ้มขณะที่มือกำลังยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ
“ เอ้า...ว น้องเล็ก ดูสาวน้อย ที่ยื่นอยู่กลางกลุ่มหนุ่มสาวที่นั่งล้อมวงโต๊ะข้างๆนั้นสิ” หัวหน้าพี่ใหญ่ตัดบท
ผมหลงเผลอมองตามเหมือนจะเป็นส่วนร่วมหนึ่งของวงสนทนาอันออกรสนี้
“เห็นไหม....เธอส่ายตัวมองซ้ายมองขวา เดินไปเดินมา ปากก็คุยโทรศัพท์ ตาก็มองไปยังประตูร้านสับเปลี่ยนกับการเดินกลับมาทักทายก็กลุ่มหนุ่มสาวที่โต๊ะ”
“ก่อนหน้านั้นพี่เห็นมีเพียง หญิงสาวร่างเล็กนั้นเพียงคนเดียว แต่ตอนนี้เริ่มทยอยมาเรื่อยๆจนเต็มโต๊ะแล้ว แต่ดูเหมือนงานของเธอก็จะยังไม่จบในช่วงระยะเวลาสั้นๆนี้”
“คงมารอเพื่อนมากินข้าวเที่ยงแหง”....น้องเล็กชิงตอบ
“เปล่าหรอกคงจะมีนัดอะไรที่สำคัญกว่านั้น เห็นกระเป๋าแต่ละคนสิ เหมือนกำลังจะไปไหน”
“แต่ดูผู้หญิงเล็กๆคนนั้นสิ นั่นน่าจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง คงจะเหนื่อยน่าดู แต่เห็นรอยยิ้มของเธอไหม เหมือนเธอจะเต็มที่และภูมีใจ ในสิ่งที่เธอทำและร่วมรับผิดชอบ”
“คงยังรอความคาดหวังที่ยังไม่ได้มา หรือมาไม่ได้” พี่รองกล่าวเสริม
“จริงๆนะ นั่นหละคือน้องเล็กในสายตาของพวกพี่..น้องเล็กในความรู้สึกของเราและองค์กร น้องเล็กเข้าใจไหม”
“ทุกอย่างที่ยิ่งใหญ่รวมทั้งพวกพี่ด้วย ล้วนขับเคลื่อนเดินได้จากสิ่งเล็กๆคนตัวเล็กๆอย่างน้องนี้หละ”
“ชีวิตน้องต้องวิ่งไปแผนกโน้นแผนกนี้ วันละไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ เก็บเล็กเก็บน้อยเพื่อตระเตรียมการ ให้พวกพี่ๆได้เคลื่อนตัวไปตามทางภารกิจที่สำคัญ แม้คนอื่นจะไม่เห็นคุณค่าของน้อง ไม่ให้ความสำคัญกับน้อง แต่นั่นอาจเป็นมุมมองของคนอื่นที่ไม่รู้จักค่า แต่น้องและพี่ต่างก็รู้กันดีว่าเราต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของความสำคัญ ความสำเร็จขององค์กรร่วมกัน....”
แม้นจะเป็นแค่เศษส่วนเสี้ยววินาที ยามเที่ยงตรงที่ เข็มสั้น เข็มยาวและเข็มเล็กมาพบปะและคุยกัน แต่มันทำให้ผมรู้สึกได้ว่าแล้วผมหละ ปัจจุบันนี้ผมวางตัวเองเป็นเข็มใดของหน้าปัดนาฬิกา วางตัวเองไว้ในจุดไหนในหน้าปัดแห่งสังคม ผมเป็นเข็มสั้น หรือเข็มยาว หรือเข็มเล็ก หรือยังไม่รู้จักตัวเองเลย
แต่ชีวิตไม่มีอะไรตายตัวแบบนั้น นอกบ้านบทบาทเราอาจจะเป็นเข็มเล็กๆ แต่ภายในบ้าน สถานภาพเราอาจจะเป็นเข็มใหญ่ หรือในบ้างครั้งเราก็ได้รับบาบาท อาจจะเป็นเข็มกลางๆอยู่ในสังคม หรืออาจถูกยกสภาพ ให้เป็นเข็มต่างๆตามที่เค้ากำหนดให้เป็น
แต่ไม่ว่าจะมีบทบาทเป็นผู้ตามหรือผู้กำหนด เข็มไหนๆ เราได้ยอมรับและเต็มที่กับมันแล้วหรือยัง
ยอมรับ อยู่กับศักยภาพของตัวเอง พัฒนาตัวเอง และก้าวไปสู่จุดหมาย ให้เหมาะสมกับศักยภาพและความสามารถที่มีที่เป็นอยู่นั้น
มันอาจจะดีกว่าที่จะเสียเวลาไปกับเข็มแห่งความฝันที่ไม่มีวันได้มาและ มีอยู่จริงในชีวิต...ไม่ใช่หรือ
......................................................
ผมออกจากภวังค์คิดเมื่อได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์
“อยู่กันที่ไหนครับ...พี่" ผมเแกล้งทวนย้อนเมื่อต้นสายใชัคำถามเดียวกันนี้
“พวกเรามานั่งรอกันอยู่พักใหญ่แล้วหละคุณพี่ แล้วพี่หละอยู่ไหน นัดไว้สิบเอ็ดโมงครึ่งไม่ใช่หรือจ๊ะ นี่มันเที่ยงตรงแล้วนะ....คุณชายเจ้าขา”(ประชด)
“ผมก็อยู่ที่นี่หละครับ แอบมามองพวกพี่ๆตั้งนานแล้วหละ ฮา...
“อ้าว...อีตาบ้านี่..มาแล้วก็ไม่บอก...เดี๋ยวก็ไปถึงปากช่องมืดค่ำกันพอดีหรอก เราช้ากว่ากำหนดการ ครึ่งชั่วโมงแล้วนะ"
"....ครับๆ...ฮา ..ฮาาาา.."
......................................................
“เห็นไหมน้องเล็ก ไม่มีใครว่าน้องเล็กสักคำนึง เข็มชั่วโมง เข็มนาทีอย่างพี่นี้หละ ที่โดนมากสุด ผิดมากๆเป็นชั่วโมง ๆก็โดน ผิดน้อยๆเป็นนาที ๆก็โดน ” เสียงพี่รองส่งเสียงบอกกล่าวย้ำถึงสภาพหน้าไฟของตัวเอง ก่อนที่น้องเล็กจะเดินผละจากไปทำหน้าที่ด้วยรอยยิ้ม
พร้อมๆกับที่ผมผละจากโต๊ะ ยกกระเป๋าและเอสเปรสโซที่เหลืออยู่ค่อนแก้วไปรวมกลุ่มกับพี่ๆ เช่นกัน
- บล็อกของ มานี มานะ วีระ ชูใจ
- อ่าน 4099 ครั้ง
ความเห็น
lekonshore
27 พฤศจิกายน, 2010 - 12:59
Permalink
มานี มานะ
อ่านเสียเพลินเลย อิอิ เข้าใจเขียนนะ น่าติดตาม ลุ้นตั้งนาน
msn:lekonshore@hotmail.com
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร
มานี มานะ วีระ ชูใจ
27 พฤศจิกายน, 2010 - 15:48
Permalink
มั่วมากกว่าครับ
ผมพยายาม...ที่จะเขียนให้ถึงความหมายที่มันควรจะเป้นแต่เขียนได้เท่านี้ครับ...
เหมือนจะใช่แต่ไม่ใช่...ดั่งที่ควรจะเป้น พออ่านกันได้นะครับ
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
มะโหน่ง
27 พฤศจิกายน, 2010 - 13:05
Permalink
ที่แท้...
พี่พุทรานี่เองที่เป็นต้นเหตุของเรื่อง 555++ ขอบคุณนะคะที่ให้ข้อคิด
สุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป^^ ธรรมะ จากท่าน ว.วชิรเมธี
มานี มานะ วีระ ชูใจ
27 พฤศจิกายน, 2010 - 15:50
Permalink
หมากโหน่ง
เรื่องเรียนพี่อาจจะเป็นคคนตาม..
แต่เรื่องความฮัก...ถามพี่นะครับ...
เหลวไม่เป็นท่า...เรียนบอก
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
มะโหน่ง
27 พฤศจิกายน, 2010 - 15:59
Permalink
เย้ย...พี่พุทรา
ไหงเป็นงั้นหล่ะ 555++
สุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป^^ ธรรมะ จากท่าน ว.วชิรเมธี
มานี มานะ วีระ ชูใจ
27 พฤศจิกายน, 2010 - 16:01
Permalink
หมากโหน่ง
ความรักคือหนังสือที่เราอ่านได้ไม่มีวันจบงัยจ๊ะ
และยากที่จะสรุปด้วย...เจ้าค่ะ
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
ตองอู
27 พฤศจิกายน, 2010 - 13:21
Permalink
มานี มานะฯ..^__^..
แนะนำให้ไปเป็นนักเขียนค่ะ...เขียนทีไรอ่านเพลินทู้กกกกที..^__^..
MSN/MAIL/HI5 : Tongau_oomsin[at]hotmail[dot]com
มานี มานะ วีระ ชูใจ
27 พฤศจิกายน, 2010 - 15:52
Permalink
พี่ก็...
นักเขียนหรือครับ...
ผมแค่เป็นเข็มๆนึงที่พยายามอย่างเต็มที่ในสิ่งที่ตัวเองเป็น...
อย่างที่บอกครับ
อย่างไปหวังกับเข็มที่ไม่มีอยู่จริง...ฮา...
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
เจ้โส
27 พฤศจิกายน, 2010 - 13:24
Permalink
ใกล้เข้ามาแล้ว
อยากจะอยู่ในกลุ่มสาวน้อยกลุ่มนั้นจัง แต่หันมามองตัวเรา...สาวเหลือน้อยแร้วววววววว
garden_art1139@hotmail.com
มานี มานะ วีระ ชูใจ
27 พฤศจิกายน, 2010 - 15:53
Permalink
สาวแกแม่ม่ายไร้บุตรสุดหล่อก็ไปไ-ด้ครับ...
ปากช่อง...แต่ผมคงไม่ได้ไป..น่าเสียดาย
เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่
คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู
หน้า