ภูมิคุ้มกัน : ป้อมปราการต้านทานโรคของร่างกาย

หมวดหมู่ของบล็อก: 

นานๆ จะเข้ามาเขียนบล็อกสักครั้ง แต่ไม่ใช่เรื่องการเกษตรหรอกนะ แต่เป็นเรื่องการดูแลสุขภาพง่ายๆ ที่เราๆ ท่านๆ อาจจะหลงลืม หรือละเลยกันไป


ภูมิคุ้มกัน : ป้อมปราการต้านทานโรคของร่างกาย (คัดลอกจาก นิตยสาร "หมอชาวบ้าน" ขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)






นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 376


เดือน-ปี : 08/2553


คอลัมน์ : บอกเล่าเก้าสิบ


นักเขียนหมอชาวบ้าน : นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ



คนเรามักจะคิดว่า การเจ็บป่วยเกิดจากสาเหตุภายนอกร่างกายเป็นสำคัญ เช่น ติดเชื้อจากคนอื่น รับสารพิษจากสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา เป็นต้น

จริงๆ แล้ว ปัจจัยภายในร่างกายของเรา ได้แก่ ภูมิคุ้มกัน (immune) ก็มีส่วนสำคัญในการต่อสู้ต้านทานกับโรคภัยไข้เจ็บที่เข้ามารุมเร้า ถ้าภูมิคุ้มกันเข้มแข็งก็สามารถขจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายและควบคุมโรค (เช่นมะเร็ง) ที่กำลังก่อตัวไม่ให้ลุกลามจนเกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาได้
แต่ถ้าภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ยกตัวอย่างสุดโต่งก็คือผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีถึงขั้นที่เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรงก็จะเกิดโรคติดเชื้อฉวยโอกาสรุมเร้ามากมาย เช่น วัณโรคปอด ปอดอักเสบจากเชื้อรา เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา โรคเริมหรืองูสวัด เป็นต้น ซึ่งจะไม่ค่อยพบในคนที่แข็งแรง หรือเป็นรุนแรงหรือเรื้อรังกว่าคนปกติ นอกจากนี้ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ได้มากกว่าคนปกติ

ภูมิคุ้มกัน (ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการทำงานของเม็ดเลือดขาวทั้งโดยการสร้างสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดีและการฆ่าเชื้อโรคโดยตรง) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคและการทุเลาบรรเทาบางเบาของโรค ๔ กลุ่มโรค ดังนี้


♦ โรคติดเชื้อ ทั้งเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา
♦ โรคมะเร็งต่างๆ
♦ โรคภูมิแพ้ เช่น แพ้อากาศ (หวัดภูมิแพ้) โรคหืด ลมพิษ เป็นต้น
♦ โรคภูมิต้านตนเอง เช่น แผลร้อนใน (แผลแอฟทัสในช่องปาก) โรคปวดข้อรูมาตอยด์ คอพอกเป็นพิษ เป็นต้น



ภูมิคุ้มกันจะดีหรือไม่ ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น 
๑. พันธุกรรม ซึ่งเป็นสิ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิดและแก้ไขไม่ได้

๒. อายุ เด็กอายุต่ำกว่า ๒ ขวบ และผู้ชราอายุมากกว่า ๖๕ ปี มักเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย เช่น เป็นหวัด คออักเสบ ปอดอักเสบ ท้องเดิน วัณโรคปอด ผู้สูงอายุยังมีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนหนุ่มสาว


เด็กอายุ ๖ เดือนแรกยังมีสารภูมิต้านทานโรค (แอนติบอดี) ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากแม่ขณะอยู่ในครรภ์ ปรากฏว่าแข็งแรงไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย แต่เมื่อพ้น ๖ เดือนไปแล้ว สารภูมิต้านทานโรคดังกล่าวได้เสื่อมสลายลง จึงเริ่มเป็นไข้หวัด ท้องเดิน และโรคติดเชื้อต่างๆ
 


๓. อาหาร ควรกินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ กากใยอาหาร นมเปรี้ยว (โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์) มีส่วนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
เด็กที่ขาดอาหาร (เช่นเด็กยากจนกินแต่น้ำข้าวกับนมข้นหวาน) มักจะเป็นไข้หวัด ท้องเสีย ปอดอักเสบบ่อย ในพื้นที่ที่มีภาวะสงคราม ขาดแคลนอาหาร เด็กๆ มักจะเป็นโรคขาดอาหารและเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อพื้นๆ เหล่านี้


ผู้ป่วยมะเร็งในบ้านเราบางคนมีความเชื่อว่าไม่ควรกินอาหารพวกโปรตีน จึงอดจนร่างกายอ่อนแอถูกโรคติดเชื้อรุมเร้าจนเป็นอันตราย

๔. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายแต่พอเหมาะจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แข็งแรง การไม่ออกกำลังกายเลยหรือออกหักโหมเกิน (เรียกว่า overtrain) จะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอได้ เช่น เป็นหวัด เจ็บคอง่าย

๕. นอนหลับพักผ่อน ควรนอนวันละ ๖-๘ ชั่วโมง การอดนอน นอนน้อย ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ


เรามักจะแนะนำผู้ที่เป็นไข้หวัด เจ็บคอ โรคภูมิแพ้ โรคภูมิต้านทานตนเอง ที่กำเริบบ่อยให้นอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลิกเหล้า บุหรี่ หาวิธีผ่อนคลายความเครียด ก็มักจะทำให้โรคทุเลาหรือหายขาด

๖. อันตราย (สิ่งที่เป็นพิษภัย) เช่น โรคติดเชื้อ (เอดส์ หัด) โรคเบาหวาน รังสี ยากดภูมิคุ้มกัน ยารักษามะเร็ง (เคมีบำบัด) ยาบางชนิด (เช่น ยาสตีรอยด์ที่ผสมในยาชุด/ยาลูกกลอน ยารักษาคอพอกเป็นพิษ) สารเคมี (เช่น เบนซิน) เหล้า บุหรี่ มีส่วนทำลายภูมิคุ้มกันให้อ่อนแอได้ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษภัยเหล่านี้ ควรควบคุมโรค (เช่น เบาหวาน โรคติดเชื้อ) ให้ได้ผลเสียแต่แรก รวมทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ก็จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

๗. อารมณ์
(จิตใจ) อารมณ์ดี อารมณ์ขัน การหัวเราะ มีจิตเมตตา ส่งเสริมให้ร่างกายหลั่งสารหลายชนิด (เช่น เอนดอร์ฟินส์) กระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง (กล่าวกันว่า การหัวเราะเป็นยาวิเศษ และเมตตาธรรมก็เป็นยาวิเศษ )


ตรงกันข้าม ความเครียด การอมทุกข์  ซึมเศร้า ทำให้ร่างกายหลั่งสารหลายชนิด (เช่น สตีรอยด์ อะดรีนาลิน) กดภูมิคุ้มกัน ทำให้โรคต่างๆ (เช่น เป็นหวัด เจ็บคอ โรคภูมิแพ้ แผลร้อนใน คอพอกเป็นพิษ) กำเริบ


มักพบอยู่เนืองๆ ว่า ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งก่อนป่วยมักมีอารมณ์เครียด อมทุกข์ อยู่นานเป็นแรมเดือนแรมปี


 ผู้ที่เป็นมะเร็งเมื่อทำใจยอมรับได้จริงๆ และลงมือทำสมาธิเจริญสติ (รวมทั้งฝึกโยคะ รำมวยจีน) ทำงานจิตอาสา ช่วยเหลือผู้อื่น ก็สามารถชะลอการลุกลามของมะเร็ง มีความสุข และชีวิตยืนยาวเกินที่หมอคาด
ขอให้เราหันมาเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอยู่เป็นเนืองนิตย์กันเถอะครับ

ความเห็น

เหมือนกันแหละจ้ะ ข้อมูลเต็มหัว หนังสือเต็มบ้าน แต่ "ทำได้มั๊ย...เป็นอีกเรื่อง"


แต่ก็ต้องพยายามทำให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยังอยากอยู่กับลูกไปนานๆ ครับ

จะปลูกต้นไม้ในใจเธอ


จะได้ไม่ต้องป่วยบ่อย ๆ ค่ะ ขอบคุณพี่กระต่ายดำนะค่ะ ที่นำสิ่งดี ๆมาฝาก

ทุกวินาทีมีค่า ถ้าเรามีความหวังเราจะไม่เคยพ่ายแพ้

การแกะสลัก ก็ถือเป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่งจ้ะน้องอิ๋ว


แต่เรื่องอาหาร กับการออกกำลังกาย ก็สำคัญนะ ถ้ากินแล้วไม่ออกกำลังกายมันก็จะสะสมเป็นโทษกับร่างกายได้


รักษาสุขภาพนะครับ

จะปลูกต้นไม้ในใจเธอ


เรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องใกล้ตัว ที่หลายๆ คนละเลย
ช่วยกันเขียน ช่วยกันกระทุ้ง จะได้ระมัดระวังกันมากขึ้น

ต่อเมื่อรู้สึกว่าร่างกายชักจะแย่ ก็จะหันมาดูแล พอเริ่มแข็งแรงดี ก็ชักจะไม่สนใจ เป็นแบบนี้บ่อยๆ ครับ


ก็อาศัยหาอ่านหนังสือ เพื่อเป็นแรงกระตุ้นบ่อยๆ ครับ

จะปลูกต้นไม้ในใจเธอ


ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ ครับพี

คงต้องดูแลทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจ ให้แข็งแรงด้วยกันทั้งคู่

เพราะว่าถ้ากายดีแต่ใจไม่ดีก็แย่ ถ้าใจดีกายไม่ดีก็คงลำบาก

 

 

คงใช้ได้กับเรื่องนี้นะครับคุณวิทย์

จะปลูกต้นไม้ในใจเธอ


เห็นด้วยกับคุณกระต่ายดำ การพักผ่อนน้อยจะทำให้เกิดโรค โดยเฉพาะโรคหวัด แน่นอนต้องถามหาก่อน ถ้านอนไม่เต็มที่

เข้ามาทักทายค่ะ :hi:

หน้า