กอดป่าหน้าฝน # 3 @ อำลาทุ่งแสลงหลวง-ล่องลำน้ำเข็ก ...กับ "ผู้ชาย พายเรือ" !!!

หมวดหมู่ของบล็อก: 

เมื่อคืนนอนฟังเสียงฝนตกกระทบหลังคาบ้านพักและไหลลงเลยชายคาหล่นลงพื้นดินเสียงดังจ๋อมแจ๋มประหนึ่งได้นอนฟังเสียงดนตรีขับกล่อมแห่งไพรพฤกก็มิปาน 

   ทุกคนนอนหลับเงียบสนิทไม่ได้ยินแม้แต่เสียงพลิกตัว

ฝนป่าซาเม็ดลงแล้วเมื่อย่ำรุ่งค่ะ   ฉันเป็นคนแรกที่รู้สึกตัวอาจเป็นเพราะเมื่อคืนนี้ฉันเป็นคนที่เข้านอนเร็วที่สุดก็ได้   หลังจากที่นอนพิจารณาสถานที่อยู่ครู่หนึ่ง จนได้สติแล้วว่าเมื่อคืนนี้ฉันนอนอยู่ที่ไหน ประสาทสัมผัสหูของฉันก็แว่วเสียงไก่ป่าขันมาเจื้อยแจ้วแต่ไกลๆ     ฉันลุกขึ้นจากที่นอนทันทีเมื่อต้องมนต์ขลังเสียงเพรียกแห่งป่านั้น

ทุ่งแสลงหลวงในหน้าฝน แม้อากาศจะเย็นแต่ก็ไม่หนาวทารุณเท่าหน้าหนาวค่ะ   ฉันคว้าผ้าเอนกประสงค์สีขาวลายดอกชบาสีชมพูสดที่เพื่อนเอามาเป็นของฝากจากกระบี่ขึ้นคล้องคอ   ไม่ลืมที่หยิบกล้องถ่ายรูปคู่ใจติดมือมาด้วย   ออกมานอกห้องยังไม่เห็นมีใครตื่นฉันค่อยๆย่องออกมาทางประตูหลังอย่างเงียบกริบ เมื่อมองผ่านหน้าต่างที่ฝ้ามัวมองไปด้านนอกเห็นกลุ่มหมอกลอยต่ำจนคลุมตัวบ้านแทบมองไม่เห็นพื้นดิน

ฉันเดินฝ่าสายหมอกไปตามถนนซึ่งมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่ไปหมด  นึกจินตนาการไปต่างๆนาว่าข้างหน้าฉันจะเจออะไรบ้าง  เพราะที่ที่ฉันเดินอยู่นี้ ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลยนอกจากดอกชบาสีสดที่จดจ้องฉันอยู่บนผ้าคลุมไหล่สีขาวผืนนี้ 

ฉันเดินชมทะเลหมอกและถ่ายรูปดอกไม้อยู่ครู่ใหญ่   ก็รู้สึกได้ว่ามีมือดีที่ไหนมากวาดสายหมอกของฉันออกไปเกือบหมดซะแล้วก็ไม่รู้สิ   แหงนหน้ามองท้องฟ้าก็เจอเจ้าตัวการที่ทำให้สายหมอกต้องบอกลาฉันไป    เพราะดวงอาทิตย์ ได้พยายามแทรกแสงแรกแห่งวันฝ่ากลุ่มเมฆออกมาทำหน้าที่อย่างแข็งขันและไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

วันนี้เป็นอีกวันที่กาแฟ  3 อิน 1 หอมหวนชวนรับประทานที่สุด  พวกเราทุกคนเตรียมพร้อมเมื่อเวลา 8 นาฬิกา  ก่อนจะล่ำราทุ่งแสลงหลวงเราได้เอากุญแจ   เตาถ่าน  และตะแกรงปิ้งย่างมาคืนเจ้าหน้าวนอุทยานที่กรุณาให้เราเช่าไปตั้งแต่เมื่อวาน   พวกเราทุกคนจากทุ่งแสลงหลวงมาด้วยหัวใจอันเบิกบาน  ทุกคนได้ชาตแบทกันเต็มที่  เราวางแผนกันไว้ว่าจะไปชิมก๋วยเตี๋ยวห้อยขาที่ริมน่าน  และถือโอกาสเข้าไปกราบหลวงพ่อองค์พระพุทธชินราศ พระประจำเมืองสองแควด้วยค่ะ

เสร็จจากเยี่ยมชมริมน่านแล้ว   โชว์เฟอร์พาเราวกกลับมาเส้นทางเดิม  เป้าหมายต่อไปของเราคือล่องลำน้ำเข็กค่ะ  ตามแนวถนนเส้นนี้ซึ่งตีคู่ขนานไปกับลำน้ำเข็ก   เราจะเห็นป้ายโฆษณาบอกเรื่องการให้บริการล่องลำน้ำเข็กสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่เป็นระยะๆ    จุดแรกที่เราเข้าไปถามได้ข้อมูลมาว่าคิดค่าบริการคนละ  750  บาท  ระยะทาง 1.5  กิโล ใช้เวลาล่องประมาณ  2  ชั่วโมง    เสียงแว่วจากในทีมบ่นว่าแพง  เป็นเพราะมีหนึ่งในนั้นว่ายน้ำไม่เป็นก็เลยทั้งกลัวและกังวลเพิ่งมารู้ภายหลังว่าเธอภาวนาขอให้ฝนตกเพื่อที่จะได้ยกเลิกแผนการนี้    (นี่ถ้ารู้ก่อนสงสัยจะโดนมิใช่น้อย  ฮ่าฮ่า) 

  เราขับรถเลยจากจุดแรกมาอีกนิด   ก็เจออีกป้ายติดไว้ใหญ่โต  พวกเราเมมเบอร์ไว้ทันที  หลังจากนั้นใครก็ไม่รู้ส่งโทรศัพท์มาให้ฉันเจรจาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า   ฉันไม่มีเวลาเตรียมตัวว่าจะพูดเรื่องอะไร   พอทางโน้น  hello มาอีกรอบ   ระบบต่อรองอัตโนมัติของฉันก็ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทันทัน  สักครู่เสียงทางปลายสายก็ตอบตกลงให้เราคนละ  500  บาทพร้อมเครื่องดื่ม  ฉันรีบตกปากรับคำและนัดหมายเวลาลงแพท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆที่ต่างก็ลุ้นว่าฉันจะทำได้สำเร็จหรือเปล่า

สรุปแล้วเราประหยัดเงินถึง 1,500  บาท ฉันก็ไม่รู้ว่าที่เขารับปากว่าให้เราคนละ  500  บาทนั้น  เป็นเพราะวันนั้นเขายังไม่ได้ลูกค้าเลย หรือเป็นเพราะว่าฉันได้บอกเขาไปว่าพวกสาวๆทั้งหกคนนี้  มีความประสงค์จะใส่ผ้าถุงลงไปตีโป่งในลำน้ำเข็ก  !!  เขาจะโอเคไหม  ??   

เรานัดเจอกันที่ที่พักขอเราเวลาบ่ายโมงตรงค่ะ   หลังจากที่เราขึ้นรถซิ่งมหากาฬไปยังต้นน้ำแล้ว   เจ้าหน้าที่ก็แนะนำให้พวกเราใส่เสื้อชูชีพและหมวกกันน๊อค  พร้อมทั้งให้เซ็นชื่อไว้เป็นข้อยืนยันว่าหากเราเป็นอะไรไปเขาจะรับผิดชอบแค่ไหน   

แพของเรานั่งได้ 9 คนค่ะ    แต่วันนี้เราไปกัน 6 คน  รวมนายหัวเรือและนายท้ายเรือด้วยเป็น 8 คน  ซึ่งถือว่ากำลังดี  ระดับน้ำวันนี้  เจ้าหน้าที่บอกว่ากำลังตื่นเต้น คืออยู่ในระดับที่ 5    ซึ่งระดับสูงสุดคือระดับ 6 

สาวๆทั้งหกคนทั้งกรี๊ดทั้งอึ้งเมื่อเจอหนุ่มน้อยหน้ามนสองคนปรากฏกายให้เห็น    ก็จะไม่ให้กรี๊ดได้ยังไงละคะ   ก็พวกเราเป็นพวกแพ้ความหล่อกันทั้งนั้นนี่ค่ะ     นายหัวเรือก็ดูทะมัดทะแมง  นายท้ายเรือก็กระฉับกระเฉงว่องไว   ทั้งสองคนรูปร่างสัดทัดดูแข็งแรงและมีประสบการณ์  คนที่กลัวน้ำที่สุดในกลุ่มถึงกับโล่งใจและพวกเราก็ยินดีที่จะฝากชีวิตไว้กับน้องทั้งสองคนค่ะ  (ฮา)

เราต้องผ่านทั้งหมด  15  แก่งค่ะ  ระดับความตื่นเต้น  เริ่มตั้งระดับ 1  ไล่ขึ้นไปถึงระดับ 5  และยังมีระดับ 6 อีกค่ะ ซึ่งคนที่จะผ่านระดับ 6 นี้ได้  ก็มักจะเป็นพวกนายหัวเหล่านี้แหล่ะค่ะ  ที่ต้องบุกเบิกน่านน้ำเพื่อหาเส้นทางใหม่ๆไว้บริการนักเผชิญภัยที่ผ่านด่าน 5 มาแล้วอย่างชิวๆ

พวกเรามือใหม่ทั้ง 6 คน  ก็ตื่นเต้นตั้งแต่แก่งแรกเลยค่ะ    ล่องแพกันไป  ชี้ชวนกันให้ดู วิว ทิวทัศน์สองข้างทางกันไป เมื่อโดนทั้งนายหัวและนายท้ายอำจนเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว  พวกเราก็โดนวางยาเอาจนได้   เมื่อผ่านด่าน 8 ซึ่งเป็นด่านที่มีความตื่นเต้นระดับ 5   ก่อนเข้าแก่ง ทั้งทั้งนายหัวเรือและนายท้ายเรือ   ก็ออกคำสั่งให้พวกเราหมอบเพื่อหลบกิ่งไม้   เมื่อผ่านสุมทุมพุ่มไม้มาแล้วก็ออกคำสั่งให้พวกเราช่วยกันพาย   ส่วนนายหัวก็คัดหัวเรืออย่างแข็งขัน  เพื่อไม่ให้แพชนโขดหิน  ส่วนนายท้ายก็ประคองแพไว้ไม่ให้คว่ำ  นับว่าเป็นการทำงานแบบทีมเวริค์จริงๆค่ะ    สมแล้วที่เขามักพูดกันว่า  “ ลงเรือลำเดียวกันแล้วมือไม่พายก็อย่าเอาเท้าราน้ำ  “  

เมื่อพวกเราผ่านด่าน 8 มาได้ยังไม่ทันหายตื่นเต้น     แบพลันนั้นเอง ฉันก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาดีดและเหวี่ยงจนฉันหลุดออกมาจากแพ  หลังจากนั้นประมาณหนึ่งวินาที  ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะหายใจไม่ออก   มองไปด้านบนก็มือสนิท ตั้งแต่ช่วงคอของฉันก็จมอยู่ใต้น้ำ   ใช่แล้วค่ะ...   ฉันกำลังจมอยู่ใต้น้ำโดยที่มีเจ้าแพยางครอบฉันอยู่    อีกอึดใจเดียวก่อนที่ฉันจะสวดมนต์เรียกให้หลวงพ่อช่วยลูกช้างด้วย  ฉันก็ถูกมือแข็งแรงของใครคนหนึ่งดึงตัวฉันออกมาจากใต้ท้องแพ   ฉันถีบตัวขึ้นมาสูดอากาศเหนือน้ำและมองไปดูรอบๆ   เห็นเพื่อนๆทุกคนต่างอยู่ในสภาพเดียวกันทั้งหมด   คือทุกคนตกน้ำค่ะ !  เสียงหัวเราะอย่างชอบใจของสองคนนั่นฟังดูแปลกๆแฮะ  พวกเรารู้ทันทีว่าโดนแกล้งทำให้ตกน้ำ  ....พวกเค้าคว่ำแพเราค่ะ  !!!

หลังจากกู้แพแล้วและพวกเราทุกคนถูกดึงขึ้นมาประจำแหน่งเดิม    บรรยากาศช่วงที่เหลืออีกครึ่งทาง   คงไม่ต้องบอกนะคะว่าจะเป็นอย่างไร  พวกเราต่างก็ไม่ไว้วางใจนายหัวเรือของเราอีกแล้ว  เพราะไม่รู้ว่าเราจะโดนอะไรอีก   แต่ดูๆรู้สึกว่าจะเป็นความสุขของผู้แกล้งอย่างมากค่ะ   แต่เขามาสารภาพกับพวกเราภายหลังว่า   เขาต้องการสร้างบรรยากาศแห่งความประทับใจให้กับลูกค้าเท่านั้นเอง     แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจทำเช่นนี้  เขาก็ดูแล้วว่าศักยาภาพของลูกทัวร์เป็นอย่างไรบ้าง    ถ้าในกรุ๊ปมีอาม่าวัย 60  หรือมีตี๋น้อยอายุ 5 ขวบรวมอยูด้วย    เขาก็คงไม่โลดโผนแบบนี้หรอก  โอเค...ให้อภัยที่ยังไม่ว่าเราแก่  ฮา ฮา !!   และเขาก็ไม่ทำให้เราผิดหวังเลยค่ะ  !!

ในที่สุด นายหัวเรือก็พาเรามาจนถึงแก่งสุดท้ายคือแก่งที่  15  ซึ่งตรงนี้เป็นเวิ้งน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ไม่มีโขดหินและพุ่มไม้ให้ต้องหลบหลีก   จะเป็นเพราะสมาชิกในกลุ่มยังติดใจกับความเย็นของสายน้ำที่ลงไปแช่เมื่อสักครู่หรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ    ใครคนหนึ่งในกลุ่มจึงพูดขึ้นว่าขอลงไปว่ายน้ำขึ้นฝั่งเองได้ไหม   ระยะทางจากที่เราอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 500  เมตรค่ะ    สองหนุ่มน้อยมองหน้ากันสักครู่   ก็ทนลูกอ้อนของพวกเรามาไม่ไหว  ตกลงอนุญาตให้เราลงไปลอยคอในแม่น้ำได้  ...เย้.!

พวกเราทุกคนลงไปแช่ในน้ำที่มีสีแดงด้วยตะกอนดินโคลนที่ไหลมาจากต้นทางโดยไม่รู้สึกเกี่ยงงอนกันสักคนแม้ว่าจะได้ยินเสียงขู่มาแว่วๆว่า  ที่ตรงนี้เขาเรียกว่า ดงปลิงดุ ก็ตาม   แต่พวกเราก็ไม่มีใครเชื่ออีกแล้ว  (ถ้ามีจริงคงขนลุกน่าดู!) 

ก่อนถึงท่าเล็กน้อย   นายหัวเรือเรียกให้เราขึ้นแพเพื่อจะได้เทียบท่าเพราะท่าจะสูงกลัวพวกเราปีนขึ้นไม่ใหว  พวกเราถูกดึงขึ้นมาทีละคน  จนถึงคนสุดท้ายยังไม่ทันได้ขึ้น ฉันก็ได้ยินเสียงดัง โครม !!   ใครตกน้ำ  ??    หันไปเห็นอีกที อ้าว  นายท้ายเรือทำไมลงไปแช่น้ำเล่นอย่างนั้นหล่ะคะ     ก็เพื่อนตัวแสบของฉันนะสิคะ   คงจะแค้นใจไม่หายที่เมื่อกี้โดนแกล้งให้ตกลงไปในน้ำ   พอมาคราวนี้เห็นว่าใกล้จะถึงฝั่งแล้ว  ก็เลยเอาคืนซะหน่อยนึง   เสียงคนตกน้ำหาได้ดังไปกว่าเสียงเฮ....ของสาวๆที่ดังขึ้นพร้อมกันด้วยความชอบอกชอบใจที่เอาคืนได้  จนคนบนฝั่งมองมายังต้นกำเนิดของเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน   และหนึ่งในนั้นก็คือลูกพี่ใหญ่เจ้าของแพที่เราคุยด้วยเมื่อครั้งแรกนั่นเอง   ลูกพี่ใหญ่ยิ้มเห็นฟันขาวแต่ไกลๆ    และตะโกนลงมาว่า  .....โดนเข้าแล้วละเซ่ !!!

นายท้ายรีบว่ายขึ้นฝั่งโดยที่ปล่อยให้เพื่อนเราอีกคนยังคงคอลอยอยู่ในน้ำโดยไม่ช่วยเหลือ ปล่อยไว้ให้เป็นภาระของนายหัวซึ่งเริ่มระวังตัวแจอยู่คนเดียว     พวกเราทั้งห้าคนก็ได้แต่คิดว่าจะเอาคืนนายหัวคนนี้ด้วยวิธีไหนดี    แต่ทั้งหมดก็มาสารภาพหลังจากกลับมาถึงบ้านพักแล้วว่า    ที่ไม่มีใครกล้าทำอะไรนายหัวเพราะพวกเรารู้ว่าหากผลักเขาตกน้ำไปอีกคนแล้ว ใครจะจะเป็นคนบังคับแพพาพวกเรากลับเข้าฝั่งละ  จริงไหม  ??

นี่แหละหนา   ที่เขาบอกว่า   “ต้องเก็บ”   ผู้ชาย  “เอาไว้”  พายเรือ.....     

คุณศิษย์  ขอให้ลงรูปดอกไม้เยอะๆ  แต่ตัวเองเป็นคนถ่ายดอกไม้ไม่สวย  รูปจึงมีอย่างจำกัดค่ะ   นี่ดอกอะไรหนอ   หวานจนมดขึ้น 

ของขายระหว่างทาง   มีสะตอด้วย  10 ฝัก 80  รสชาดเหมือนสะตอบ้านแร่   แต่แม้วขาย  55

ที่พัก

วิวที่มองจากห้องพัก   ระดับนี้คือระดับหก   ชั้นปราบเซียน

ใครรู้ไหม ไปสิ้นสุดที่ไหน

เอาใจคนรักดอกไม้  อีกนิดส์ส์ส์

ขิงแดง แรงฤทธิ์

ดอกอะไรไม่รู้  สีส๊ดดดสด

ไข่มุก อันดามัน ชื่อเพราะมาก

มื้อเย็นของเรา ฝากท้องไว้ที่นี่ค่ะ

นั่งคนเดียว  (ดีกว่า)

เป็นคนโรคจิตค่ะ  ชอบถ่ายรูปเก้าที่ที่ไม่มีคนนั่ง   ...อันนี้สำหรับ (เรา) สองคน หรือเปล่า  ???

นี่ยิ่งกว่าโรคจิตหรือเปล่า  ?? เขาทำอะไร  ต้องตามไปดู  ฮิฮิ

จัเห็นศาลาแล้วชวนเมาดีง

เสริพอาหารก่อนค่ะ

จานนี้  ไม่เน้นปลา  แต่ชอบเดคเคอเรทของจานค่ะ  ดอกอัญชัน  ดอกไม้พื้นบ้านก็ขึ้นโต๊ะได้งามไม่ใคร

ปิดท้ายด้วยรูปหวาดเสียว  ที่คนใจอ่อนห้ามดู  !!

 

มีความสุขจัง 

ความเห็น

อ่านแล้วเห็นภาพเลยครับสนุกตามไปด้วยจริง ๆ ชอบครับ...ผู้ชายพายเรือ..5555:uhuhuh:

 

ชอบตอนจบใช่ไหมคะ

พี่อ่านแล้วเหมือนได้ไปด้วยเลย...ทำเรือคว่ำเพื่อความบันเทิงเป็นเคล็ดลับของทีมสต๊าฟชุดพาซิ่งดิ่งโขดหินมีทุกที่พี่ก็เคยเจอที่ ทีลอซู แต่เขาก็มีทีมเลสคิ้ว คอยดูแล แต่ก็เคยมีพลาดถึงสาหัสก็ ขึ้นศาลจ่ายเขาไปนะ ป่าน่าฝนสวยมาก แต่ก็อันตราย ในการเดินป่า แต่พวกอ๊อฟโรดชอบมากที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ผู้ชายพายเรือ...แกล้งผู้หยิงตกน้ำ แต่อภัยได้เพราะผู้ชายเขาหล่อ และเอาะๆ 55555


ผู้ชายเนี่ยะ  ไว้ใจไม่ได้เลยนะคะ  นี่ถ้าไม่ติดว่าหล่อนะ  คงถูกยันตกน้ำป๋อมแป๋มไปแล้วละคะะ  555

บันทึกได้ดีครับ

หวังว่าคงมีโอกาได้บันทึกที่ปายสักครั้งค่ะ

มองเห็นภาพทุกชั้ยตอนเลยค่ะ..เขียนเก่งจัง

รออ่านภาคต่อไปนะคะ 

น่าสนุกจังเลยค่ะ วงเล็บตอนนั่งเรือล่องแก่งนะคะ

ไม่ใช่ตอนโดนคว่ำเรือ   ถ้าโดนแบบนั้นบ้างคงขำไม่ออกเลยล่ะค่ะ :crying2:

ตกน้ำก็ไม่เป็นไรค่ะ    เพราะมีกราดแมนๆ  หลอ่ๆ  คอยเซฟไว้ค่ะ


อย่างนี้  ต้องให้ตกบ่อยๆซะแล้วสิ   อิอิ

หน้า