จุดหมายปลายฝัน
ความเป็นมา
ผมเป็นลูกชาวนา พ่อจบ ป.4 อ่านออกเขียนได้ แม่ก็จบ ป.4 อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ฐานะแค่พอมีพอกิน ผมเป็นลูกคนโตพี่น้องสาวอีกคน ความตั้งใจของพ่อแม่คือต้องการให้ลูกเรียนสูงๆ ถึงแม้จะต้องทำงานหนักแค่ไหน ผมกับน้องก็สามารถเรียนจบปริญญาตรีได้สมความต้องใจพ่อแม่ ผมจบ วิทยาการคอมพิวเตอร์ ส่วนน้องคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
ความตั้งใจ
ผมเป็นคนไม่ขยัน (หรือขี้เกียจนั่นเอง) พ่อเคยบอกเสมอว่าผมไม่ชอบทำแต่อยากได้อยากมี ซึ่งผมก็เห็นด้วยทุกประการ หลังจากเรียนจบผมได้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และได้ใช้ความรู้ที่เรียนมา เพราะผมคิดตลอดว่าการเรียนคือการลงทุน เราต้องไม่ขาดทุน ผมเปิดร้านขายและซ่อมคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ปี 2545 ร่วมกันเพื่อนและคนรู้จักอีกคนธุรกิจไปได้ด้วยดี ผมได้รับงานพิเศษเสริมคือเขียนโปรแกรมตามที่ได้ความรู้จากที่เีรียนมาผมคิดว่าใช้เวลาประมาณ 2 ปี ผมได้ค่าเล่าเรียนทั้งหมดคืนแล้ว แล้วเริ่มอิ่มตัวกับระบบธุรกิจ
ตามฝันครั้งแรก
ผมเบื่อการพบป่ะผู้คนที่ไม่มีความจริงใจต่อกัน คือชอบอยู่คนเดียวมากกว่าที่ต้องรับลูกค้าพูดดีด้วยเพื่อต้องการขายสินค้าหรือบริการ ผมเลยตัดสินใจขอถอนหุ้น ได้เงินประมาณแสนกว่าบาทและได้นำเงินจำนวนนั้นไปสร้างฟาร์มเป็ด ผมสร้างฟาร์มเสร็จดังที่ตั้งใจไว้แล้วซื้อลูกเป็ดจำนวน สี่พันตัวเข้าฟาร์ม เลี้ยงได้ประมาณเดือนกว่าๆ เงินทุนที่เตรียมไว้หมด คิดว่าจะได้สนับสนุนจากพ่อแม่บ้าง แต่เขาถนัดการเลี้ยงเป็ดแบบไล่ทุ่งมากกว่าเพราะต้นทุนน้อย ผมเลยไม่สามารถเลี้ยงเป็ดบนฟาร์มได้สำเร็จดังตั้งใจไว้ ผมจึงจำเป็นต้องนำเป็ดที่เลี้ยงไว้ลงไล่ทุ่งซึ่งไม่ได้อยู่ในแผนที่วางไว้เลย และผมก็ได้แต่งงานกับแฟนซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเรียนด้วยกัน เขาเป็นครูสอนอยู่วิทยาลัยการอาชีพแห่งหนึ่ง เขาก็ตามใจผมออกมาเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งด้วยกัน หลายคนอาจไม่รู้จักเป็ดไล่ทุ่งเป็นอย่างไร มันคือการนำเป็ดที่เราเลี้ยงไปลงเลี้ยงในที่นาที่พึ่งเกี่ยวข้าวใหม่ๆ เพราะจะมีเมล็ดข้าวที่ตกหล่นตามพื้นและพวกหอยพวกปูอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ตามที่นาที่เกี่ยวใหม่เหมือนพวกยิปซี แต่ผมก็มีความสุขเพราะรู้สึกอิสระ ไม่ต้องเอาใจใคร อยู่ในป่าไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่มีกระทั่งห้องน้ำ คือเข้าตามป่านั่นเอง ผมกับแฟนเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งอยู่ 6-7 เดือนก็เริ่มมีผลผลิตให้ได้ชื่นใจ รายได้ถือว่าค่อนข้างดีหักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือประมาณวันละ 2,000 บาท คิดว่าน่าจะได้เริ่มเก็บเงินกันแล้ว
แต่สิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อนก็เกิดขึ้นหลังจากเก็บผลผลิตได้ประมาณเดือนกว่าๆ ก็เกิดปัญหาขึ้นระหว่างแม่ผัวกับลูกสะไภ้ ซึ่งเป็นปัญหาคลาสสิกมากๆ ผมจึงจำเป็นต้องขายเป็ดที่เลี้ยงมาทั้งหมด เหลือเงินประมาณห้าหมื่น ฝันครั้งแรกก็จบลงแบบไม่สวยเลย
กลับเข้าสู่ระบบธุรกิจอีกครั้ง
ผมจึงต้องกลับมาทำในสิ่งที่ผมถนัดอีกครั้งคือธุรกิจคอมพิวเตอร์ แต่คราวนี้ผมเปิดที่อำเภอแถวบ้าน ด้วยเงินลงทุนเพียงน้อยนิด ผมเปิดร้านอีกครั้งประมาณปี 2549 การเป็นเิริ่มแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก เพราะผมไม่ชอบ แต่เราทำได้ดีก็เลยต้องทำช่วงแรกให้แฟนทำงานอื่นเสริมเพื่อให้มีรายได้ที่แน่นอนก่อน ใช้เวลาเกือบหกเดือนรายได้จากร้านเริ่มมากขึ้นเลยให้แฟนออกมาช่วยที่ร้านอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เป็นการทำธุรกิจแบบครอบครัว เลยทำให้รู้สึกดีขึ้นมากกว่าครั้งที่เป็นหุ้นส่วนมาก แต่ความฝันผมก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยน
ธุรกิจเริ่มไปได้ดี
หลังจากเปิดร้านได้ประมาณ ปีครึ่ง เจ้าของห้องเห็นช่องทางเลยบอกเลิกสัญญาเช่า ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้งคือต้องหาที่ใหม่ โชคดีมีคนบอกขายห้องให้ 1 คูหา ราคา 800,000 บาท นะเวลานั้นคำนวณแล้วผ่อนบ้านก็เหมือนค่าเช่าแต่ผ่อนหมดก็เป็นของเราเลยตกลงทำเรื่องกู้ธนาคารได้หกแสนกว่า ต้องดาวน์แสนกว่าบาท เงินที่เก็บไว้หมุนในระบบหมดมือพอดี แต่โชคดีที่ปัญหาระหว่างแม่ผัวลูกสะไภ้ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แม่จึงกู้ยืมเงินจาก ธกส. ให้ 110,000 กรุงไทยอีก 130,000 และจากพ่อแฟนอีก 50,000 ซึ่งช่วงแรกก็เครียดผมเป็นคนที่ไม่ชอบการเป็นหนี่ที่สุดในโลก แล้วแม่ก็มาซื้อห้องที่ติดกันอีกห้องวางแผนไว้ว่าจะเปิดร้านเกมส์ให้น้องสาว แต่น้องสาวไม่ทำ ผมเลยจำเป็นต้องรับต่อจากแม่ เป็นว่าตอนนี้ผมเป็นหนี้เพิ่มอีก หกแสนกว่า โห้ ไม่อยากคิดเลยครับว่า หนี้ขนาดนี้อีกกี่ปีจะหมด
แต่ด้วยความตั้งใจเรื่องการใช้หนี้ผมไม่คิดจะเพิ่มหนี้จากไหนอีกเลย ใช้หนี้เพียงอย่างเดียว ผมได้กำไรมาเท่าไรก็ใช้หนี้อย่างเดียวก้อนแรกผมใช้หนี้ กรุงไทยก่อนเพราะเป็นหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงที่สุด ใช้เวลาไม่กี่เดือนก็หมด ก้อนแต่ไปก็คือ ธกส. โชคดีผมได้งบจาก อบต. แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นงบค่อนข้างใหญ่ ได้กำไรแสนกว่าบาท ผมก็เอากำไรทั้งหมดปิดที่ ธกส. ทันที ผมปิดหนี้สองที่โดยใช้เวลาประมาณ 2 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นส่วนของพ่อแฟนก็ใช้ให้ตามลำดับ หลังจากใช้หนี้อื่นๆ หมด ก้อนใหญ่ที่สุดคือค่าบ้าน ซึ่งเป็นสองหลัง ผมเลือกจ่ายหลังของแม่ก่อนเพราะแม่ใช้ชื่อญาติอีกคนซื้อเพราะแม่ไม่มีเงินเดือนหรือเงินเดือนธนาคารเลย ผมส่งบ้านหลังนั้นเดือนละ 50,000 และหลังของผม 10,000 ใช้เวลาแค่ประมาณ สองปีกว่าๆ ไม่ถึงสามปีจากเริ่มทำสัญญา ผมก็ปิดบ้านและเปลี่ยนชื่อมาเป็นของผมเรียบร้อย บ้านหลังของผมก็เหลือประมาณ 270,000 ทุกเดือนผมส่งบ้านเดือนละ 20,000 แต่กำหนดเขาแค่ 4,300 เท่านั้น เหตุผลที่ผมไม่ปิดบ้านอีกหลังให้หมดเร็วๆ เพราะดอกเบี้ยบ้านถูกมากถ้าเทียบกับดอกเบี้ยอย่างอื่น
ความพอเพียง
ถึงผมจะมีรายได้ที่ถือว่ามากพอสมควรแต่การกินอยู่ไม่ต่างจากวันที่เริ่มต้นชีวิตคู่สักเท่าไรเพราะเราถือว่ากินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน การแต่ตัวก็ใส่เสื้อผ้าเดิมๆ บางตัวใส่มาสีถึงห้าปี และก็ราคาตัวละสองร้อยถึงสามร้อยบาท ใช้จนขาดใส่ไม่ได้ถึงจะซื้อใหม่สักที แต่มีอยู่สองสามตัวที่แพงหน่อยเพราะจำเป็นต้องใช้ในการติดต่อธุรกิจซึ่งก็คือประมาณ เจ็ดแปดร้อยเอง รถยนต์ที่ใช้ก็เป็นรถเก๋งเก่ามากอายุก็ยี่สิบกว่าปี ซึ่งผมซื้อเมื่อตอนช่วงเปิดร้านครั้งแรกประมาณ 2547 ในราคาแค่ 65,000 บาท เท่านั้น ซึ่งใช้ไปซ่อมไปสบายใจตรงที่ไม่ต้องส่งไม่ต้องเป็นหนี้เพิ่มอีก ผมไม่เคยคิดว่ามีเงินเก็บเป็นล้าน คิดแต่ว่ายังขาดอีกเยอะตามความตั้งใจ
ผมเริ่มทำตามฝันอีกรอบแบบรอบคอบและอย่างคนมีครอบครัว
ผมเริ่มเก็บเงินฝากเมื่อเดือนสิงหาคม 2553 โดยตั้งใจว่าจะฝากให้ได้เดือนละแสน หรือเดือนไหนได้มากหรือน้อยกว่านั้นก็จะฝากทั้งหมด ตอนนี้ฝากมาได้รวมทั้งหมดประมาณ 1,150,000 บาทแล้วครับ คือเดือนมิถุนายน 2554 และเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม แฟนคลอดลูกสาวซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว ซึ่งการวางแผนก็ต้องมีเขาอยู่ด้วย
แผนการเงิน
ผมตั้งใจจะเก็บเงินให้ได้ 6,000,000 บาท โดยจะใช้เวลาประมาณ 5-6 ปี ผมเริ่มเก็บ 32 ตอนนี้ 33 ผมตั้งใจบวกลบน่าจะไม่เกิน 40 ผมจะได้ตามที่ตั้งใจไว้ ผมเริ่มนำเงินเก็บไปฝากประจำกับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนแถวบ้าน ซึ่งให้ผลตอบแทนร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งจะได้ 360,000 บาท ต่อปี หรือประมาณ 30,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งได้วางแผนการใช้เงินไว้อย่างมีแบบแผนคือ ตัวผม 5,000 บาท แฟน 5,000 บาท ลูกคนแรก 5,000 บาท ลูกคนที่สองอีกคนที่ตั้งใจไว้ 5,000 บาท พ่อแม่ผม 5,000 บาท พ่อแม่แฟน 5,000 บาท คิดเป็น เดือนละ 30,000 บาท พอดี ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้เหมือนจะน้อยแต่ทั้งหมดนั้นคือผมหยุดไม่ทำอะไรเลย หรือทำอะไรที่ตัวเองรัก ตัวเองชอบ ซึ่งถือว่าเป็นอิสระที่แท้จริงที่ผมฝันมาตลอด คือกลับไปทำไร่ทำนาแค่พอสนุก ดูแลความรู้สึกของคนที่ตัวเรารัก ดูแลสุขภาพของคนในครอบครัว สอนลูกให้รู้จักคุณค่าของเงิน ว่าเงินสามารถทำงานให้เราได้โดยที่เราต้องรู้จักใช้เงินให้เป็น ไม่ใช่ถูกเงินใช้ตั้งแต่เกิดจนตายอย่างรุ่นพ่อรุ่นแม่หรือคนอื่นๆ ที่ไม่เคยคิดแบบนี้
นี่เป็นความฝันของคนไม่ขยันคนหนึ่ง
ซึ่งชาตินี้คงได้รู้จักอิสระที่แท้จริงสักครั้งในชีวิต
"ผมจะอยู่แบบใช้เงิน และจะไม่อยู่แบบถูกเงินใช้ไปทั้งชีวิต"
- บล็อกของ arkcom
- อ่าน 2757 ครั้ง
ความเห็น
ธนนันท์
25 มิถุนายน, 2011 - 16:28
Permalink
อ่านจนจบทุกตัวอักษร
อ่านจนจบทุกตัวอักษร รู้สึกว่าเหมือนเป็นเรื่องของตัวเองเลย โดยเฉพาะโดนเจ้าของห้องที่เราเช่าทำธุรกิจเอาห้องคืนตอนที่ธุรกิจเรากำลังไปได้ด้วยดี ยอมให้ขึ้นค่าเช่า ยอมให้ขึ้นแปะเจี๊ยะ ตอนนี้ทำแบบพอเพียงที่บ้านเราเองสบายใจ ยกย่องในความตั้งใจจริงและความมีระเบียบแบบแผนของคุณจริง ๆ ขอบคุณค่ะที่แบ่งปัน
หนุ่มชาวสวน
25 มิถุนายน, 2011 - 19:30
Permalink
จุดหมาย
ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ อุปสรรคมีใว้ให้แก้ จน รวยก็มีทุกข์กันได้เหมือนกัน อย่าลืมวัฎจักรของชีวิต ยกย่องคนสู้ชีวิตครับ
ตั้ม
25 มิถุนายน, 2011 - 19:42
Permalink
ดีแล้วครับ
ชีวิตคนเราก็คล้ายจังหวะดนตรีที่มีสูงมีต่ำ แต่ก็ไม่เหมือนไปเสียทั้งหมดทีเดียวเพราะแต่ละจังหวะก้าวของชีวิตไม่คงที่แน่นอนเหมือนจังหวะในแต่ละห้องดนตรี ผมเลยเห็นด้วยว่าชีวิตคนเรานั้นไม่ควรประมาท ยามมีหาได้ก็ควรเก็บบางส่วน ส่วนที่เก็บก็ให้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวมันเอง และมีแผนงานซึ่งเสมือนหนึ่งเข็มทิศของชีวิต หากขยันหารักษาดีมีสมองใช้สองมือสร้างชีวิตเราก็จะลิขิตชีวิตเราเองได้ คุณและคู่ชีวิตก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่น่านับถือที่สามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับครอบครัวได้ในขณะที่อายุยังน้อย ดีใจด้วยครับแต่ก้อย่าประมาทนะ และก็อย่าลืมให้รางวัลกับชีวิตทั้งต่อของตนเองและคนใกล้ชิดรอบข้างด้วย..ดีใจด้วยครับ
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
สมศักดิ์ชาประเสริฐ
25 มิถุนายน, 2011 - 22:09
Permalink
คนสู้ชีวิต
เป็นกำลังใจให้แต่อย่าเดินทางพลาดเมื่อมีความมั่งคั่ง
RUT2518
27 มิถุนายน, 2011 - 17:24
Permalink
ทางเส้นนี้
ทางเส้นนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ สู้ๆครับ
บ้านสวนต้นน้ำวังทอง
27 มิถุนายน, 2011 - 17:50
Permalink
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้
เป็นคนหนุ่มที่มีฝันชัดเจน "ความคิด,จินตนาการ ที่ชัดเจน มีความต่อเนื่อง จะบ่มเพาะเป็นตัวตน" ครับ
ขอเป็นกำลังใจ ลุยโลดๆครับ
http://www.bansuanporpeang.com/blogs/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87
http://www.facebook.com/somkiat.chaikhom