“รู้” ... เป็นโทษ ! ...

หมวดหมู่ของบล็อก: 

    บ่ายของวันหนึ่ง ใต้ร่มมังคุดพุ่มใหญ่ ... ข้าพเจ้ากำลังเพลิดเพลินอยู่กับงาน เหลาคมผิว และ เสี้ยมปลาย ฟากไผ่กองใหญ่ซึ่งผ่าไว้แล้ว ที่วางกองอยู่เบื้องหน้า ... เพื่อเตรียมไปปักเป็นแนว ปลูกผักหวานป่า ....

           โครม ! ...

    เสียงกระแทกหนัก ๆ สัมผัสโสตประสาท ... แต่ก็ไม่ได้เร้าความสนใจ ให้ข้าพเจ้าผละงาน แต่ประการใด เพียง ... แหงะหน้าไปทาง ต้นเสียงหน่อยเดียว ซึ่งจริง ๆ แล้วก็มองไม่เห็นอะไรหรอกครับ ... เพราะตัวบ้านบดบังทัศนียภาพไว้ ...

       “ลุง (ออกชื่อบุคคล) ถูกชน” ! .... เสียงบอกเล่า ที่เกือบเป็นเสียงตะโกน ที่เจ้าของเสียง คงไม่ตั้งใจจะบอกใคร คนใดโดยเฉพาะ  ลอยมาจากถนน ... ข้าพเจ้าจำได้ว่าเป็นเสียงหลาน ....

    และเสียงนี้เอง ... ที่ หลบหลีกสติ รู้ทัน เข้าไปปรุง ภว สัมภเวสี ขึ้นในจิตของข้าพเจ้า ... แม้จะไม่ถึงขั้นปฏิสนธิ แต่ก็ .... ความสนใจ ใคร่รู้ ... ถูกสร้าง ขึ้นอย่างปรู๊ด ปร๊าด ...  (เป็นข้อแก้ตัว กระมัง)

    เพราะชื่อที่หลานขานบอก คือคนบ้านใกล้ ... ถึงมิใช่เรือนเคียงก็เหอะ ...

       วางมีดพร้าในมือลงบนกอง ไม้ฟากไผ่ที่ยังไม่ได้เหลา ... เดินออกไปยังถนน ... เลี้ยวซ้ายตามถนน ไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นปากซอยห่างออกไป ประมาณ 30 เมตร – 40 เมตร

         ขณะเดิน ก็ได้ยิน ...

    “มึ้งไม่เห็นไฟเหลี่ยว เหอ กูเปิดมาตั้งกิโล แหล่ว” (มึงไม่เห็นไฟเลี้ยวรึ กูเปิดมาตั้งกิโลแล้ว) เสียงบ่งอารมณ์ประชด เจ้าของรถ ซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ ของข้าพเจ้า

       “เห็น ... แล้วมึ้ง เหลี่ยว ไซนิ ... หมอยังไม่ฉาย ถึงบ่านมึ้งที” (เห็น ... แต่มึงเลี้ยวทำไม ยังไม่ถึงบ้านมึงเลย) เสียงตอบสั้น ๆ จากคู่กรณี และตามด้วย ประโยคคำถาม

    ณ ที่เกิดเหตุ ... คู่กรณี กำลังประจันหน้ากันอยู่ ....

          อารมณ์แรกของข้าพเจ้า คือ ...

    เฮ้อ ! ... โล่งใจ ... เพราะกรรมในประโยค ที่หลานร้องบอก ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นเจ้าของรถยนต์ คันที่ถูกชน(ที่จริงอารมณ์นี้ เกิดตั้งแต่ได้ยินเสียงได้ยินประโยค คำถามของผู้ถูกชน)

          อีกอารมณ์ที่ตามมา ...

    เฮ้อ ! ... โล่งใจ อีกแล้วครับท่าน ... เพราะคู่กรณี เป็นเพื่อนซี้กัน ... รู้กันทุกเรื่อง ... อาจพูดได้ว่า รู้ใจกันก็ยังได้เลยครับ ... ข้าพเจ้าจึงคาดว่า ... กรณี คงเป็นแค่ “วจีวิวาท” คงไม่ลุกลามถึงขั้น “กายาวิวาท”

           แล้ว ...

    “กุตี่เข้าไปรับหลาน แขะโรงเรียน” (กูจะเข้าไปรับหลานที่โรงเรียน) ผู้ถูกชนบอก แล้วต่อด้วยคำถาม ... “แล้วนี้ มึ้งตี่ไปไหน” (แล้วนี่ มึงจะไปไหน)

       “หวาตี่ไปกินน้ำชาแขะลาด” (ว่าจะดื่มน้ำชาที่ตลาด) ผู้ชน ตอบ ... แล้ว “งุมงำ” (ปรารภ) ต่อ “ม้ายฉายบ่านมันนิ ... ตี่เหลียวกาหมายบอกกอน ... เถจิงฉ่ายตี่ชน” (ไม่ใช่บ้านของมันจะเลี้ยวก็ไม่บอกก่อน จะได้ไม่ชน )

    “กามึ้งขับคนคันกับกู” (ก็มึงขับคนละคันกับกู) ผู้ถูกชนว่า ... “แล้วตี่บอกพรือ ... กาหมอกูเปิดไฟเหลี่ยวแล้วเลา”(จะให้บอกไง ก็กูเปิดไฟเลี้ยวแล้วไง)

        “กูนึกหวา มึ้งเปิดลืมไว้และ” (กูคิดว่ามึงเปิดลืมไว้) ผู้ชนบอก ... แล้วบอกต่อ “มึ้งเอาไปซ้อมตะ กูเสียเอง” (มึงเอาไปซ่อมเถอะ กูจ่ายเอง)

     “เออ” .... เสียงตอบสั้น ๆ แต่เป็นสัญญา ยุติข้อ วจีพิพาท ... คู่กรณี ต่างเดินไปขึ้นรถตนเอง ขับออกไป

    บรรดา “ชาวบ้านมุง” ... ส่วนใหญ่แยก ย้ายกันกลับ .... ในจำนวนนั้น รวมข้าพเจ้าไว้ด้วย

    กลับถึงบ้าน เดินตรงไปกองฟากไม้ไผ่ ที่เหลาค้างไว้ ... นั่งลงเหลาต่อ

        แต่ ... เป็นอากัปอัตโนมัติ ...

          ส่วน “จิต” ... ตกอยู่ในห้วงคำนึง

    การณ์ นี้ ... เข้าทำนอง ว่า  “เพราะ ‘รู้’ มากไป รึเปล่า ? ... จึงเกิดโทษ”

ความเห็น

:uhuhuh: :bye:

คิดเอาเอง หรือเปล่าครับลุง....

..โอกาสไม่ได้มีทุกวัน..

 

   ก็คงทำนอง คิดเอาเอง นั่นกระมัง .. จึงเกิดเหตุ

     เพราะฟัง คำสนทนา ระหว่างคู่กรณี ถึงเหตุปัจจัย มันก็บ่ง อย่างนั้น ด้วยรู้จักรถ ... รูจักบ้าน ของรถคันข้างหน้า จึงประมาท

    หากเป็นคนอื่นที่ ไม่รู้ ขอมูล เหล่านั้น ... คงไม่เกิดเหตุ ... เห็นสัญญาณไฟเลี้ยวแล้ว คงลดความเร็ว และระวัง

นิทานก่อนนอนของข้ามาแล้ว ฮิ้ววว

   ครับ ... แต่มิใช่ นิทานก่อนนอน ...

     หากเป็น นิทานยามเช้า จากเรื่องจริง ที่ไม่ผ่านจอ

       และ ก็ มิได้ขึ้นต้นด้วย Once upon a time ... เพราะมัน เพิ่งเกิดสด ๆ ร้อน ๆ ในชุมชน ก่อนขึ้น มาคอนฐมไม่กี่วัน นี่เอง

      เป็นเรื่่อง ฮา ในสภากาแฟ ยามเช้า ขณะนี้ทุก ๆ วัน เพราะสถานที่เกิดเหตุ อยู่หน้าร้านค้าวัสดุการเกษตร ซึ่งยามเช้า ขายกาแฟ ควบคู่ไปด้วย พอดี 

ต่างคนต่างอ่านใจกัน  สุดท้ายกะจุ๊บกันแหล๊    :uhuhuh:

   ทายใจไม่ถูก เจ้ เหอ ...

     แตลุงเดาว่า ... คนชน ซึงจำรถคันหน้าได้ และ รู้แห่งว่าบ้านอยู่ไหน

   เลย ไม่เชื่อ สัญญาณไฟ ที่เห็นอยู่ จะ จะ ...

      เชื่อสิ่งที่ตน เคย รู้ ... จึงเกิดเหตุ

อ่านครั้งแรกก็งงเหมือนกันครับ ตีความไม่ออก สุดท้ายก็กระจ่าง

   พ่อคิดสรุป เอาเอง แบบเดาใจ น่ะ ... ว่า

     คนชน คงเชื่อสิ่งที่เคยรู้ ... มากกว่า ... สิ่งที่กำลังห็น

:uhuhuh: สัจธรรมนะลุง

คิดให้แตกต่าง...แต่อย่าแตกแยก

หน้า