เรียน..ปรึกษา

หมวดหมู่ของบล็อก: 

ด้วยสิ่งที่เรามี  สำหรับลูกแล้วผมคิดว่า เราสามารถที่จะเกื้อกูลเธอไปสู่เส้นทางที่ประสบความสำเร็จทางการเรียนรู้ในระบบได้ โดยไม่ต้องพึ่งโชคชะตาเสียแทบทั้งหมด


ยุคที่โรงเรียนอนุบาลชั้นนำดีๆถูกจับจองพื้นที่เรียนตั้งแต่คู่รักคู่หนึ่งเริ่มแต่งงาน  ในยุคทีทารกเริ่มเรียนรู้อย่างเป็นระบบตั้งแต่อยู่ในครรท์มารดา เพื่อเคี่ยวกรำคุณภาพแห่งพัฒนาการทางสมองและจิตใจของเด็ก ในยุค(นี้)ที่วิทยาการเกี่ยวกับเด็กเจริญถึงขั้นขีดสุด  ทั้งในแง่เกี่ยวกับเด็ก เกี่ยวกับแม่ และผลิตภัณท์ที่รองรับและฉกฉวยความต้องการนั่น


จึงไม่แปลกหากผมจะได้ฟังเพลงโมสาร์ท ก็ตอนที่ภริยาตั้งท้อง และเสียงโทรศัพท์จากทางเจ้าของผลิตภัณท์ตลอดเป็นช่วงๆวัยของเด็ก คล้ายๆกับความห่วงใยที่ไถ่ถามถึงพัฒนาการของลูกผม คำแนะนำและเรียนย้ำถึงความจำเป็นที่จะให้คงไว้ซึ่งผลิตภัณท์ของต้นสายต่อไป


เด็กที่เกิดอนามัย(สมัยนั้น)กินนมชงตราหมี อย่างผม ย่อมต้องเรียนรู้และปรับตัว แต่จะเท่าทันหรือไม่นั้นอีกเรื่องนึง


ใช่....เรารักลูกและต้องการสิ่งที่ดี ที่จำเป็น โดยเพียงศักยภาพที่หาได้อย่างไม่ยากลำบาก เพื่อเค้า


ผลิตภัณท์เกี่ยวกับทารกและเด็กจึงแข่งขันกันอย่างยัดเยียดและดุเดือด และผาดผุดเพื่อตอบสนองความรักของเราที่มีต่อลูก ความรักที่ถูกแสดงออกในรูปผลิตภัณท์ นม เสื้อผ้า ของเล่น ไม่แม้นแม้แต่สถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียน ไปจนถึงโรงเรียน ที่พยายามสร้างชื่อและทำการตลาด ปลูกฝังความเชื่อกันอย่างเข้มข้นและตราตรึง


แน่นอนเด็กที่เล่นเป่ากบอย่างผมย่อมต้องเรียนรู้และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบตอบสนองต่อวิถีแบบปัจจุบันนี้(นั้น)


ในขณะที่ลูกเรียนเตรียมอนุบาลตอนสองขวบสองเดือน(ห่างจากบ้านไปกลับยี่สิบสี่กิโล ผมรับส่งทุกวันคูณสองชึ่งหนักมากในแง่ค่าใช้จ่าย) จนถึงวันนี้ผมมีเวลาคิด ตัดสินใจ อีกสื่เดือนนับจากนี้จนกว่าเธอจะสามขวบ  เราปรึกษากันว่าเราจะให้ลูกเรียนอนุบาลที่ไหนดี


นี่ก็เป็นอีกครั้งที่เสียงสมมุติแห่งทางเลือกต่างมุมได้ถุกนำมาวางและแยกแยะ ค้นหาเหตุผลที่สมดุลลงตัวอีกครั้ง โดยมีอนาคตของลูกมาเป็นเหตุผลแห่งเดิมพันดั่งเคยเหมือนวันก่อนๆ


แน่นอนเธอ(ลูก)ต้องอยู่กับผมที่บ้าน แต่จะให้เรียนในเมือง เรียนโรงเรียนที่(คิด)ดีที่สุดในตอนนี้แต่ต้องแลกกับการ ไปกลับวันละเจ็ดสิบกิโลเมตร(เด็กแถวบ้านผมก็ไปเรียนกันพอควร) เธอต้องตื่นแต่เช้ามืด เพื่อขึ้นรถรับส่งของทางโรงเรียนหรือจะให้อยู่ใกล้บ้านเรียนในศุนย์เด็กเล็ก ซึ่งมิอาจกล่าวอ้างได้อย่างเต็มปากว่าอย่างไร


ใจหนึ่งก็อยากให้เธอเรียนที่เดิม นอนหลับใหลคุดคู้อยู่ในไออ้อมอุ่นที่คุ้นเคยกอดจนลืมตา ทักทายใบหมอนชะอ้อนกอดจินตนาการ ตอนตื่นจากผวังค์แห่งเช้าวัน ใหม่ ได้เล่นกับหยดน้ำค้างใบหญ้า ทักทายกับสิ่งแวดล้อมที่เพิ่งงัวเงียตื่นนอนพร้อมๆกับเธอเพื่อแต่งตัวรอรับแสงตะวัน ย่ำเดินบนพื้นดิน ทิ้งตัวนั่งมองกิ้งเกือที่กำลังคืบคลาน ทักทายกับผีเสื้อที่ทยอยหยอกล้อดอกน้ำหวาน เป็นวัฏจักรแห่งการเริ่มต้นที่ไม่เรียบเร่งจนเกินวันแห่งวัย กลับบ้านได้มีเวลาไล่ระรานลูกไก่ ทักทายขึ้นขี่หลังน้องหมาแทนม้านั่งเล่นตัวสูง ถูกยุงกัดแขนบ้างยามตามย่าไปเล่นตอนเข้าสวนยามเย็น


 แต่ต้องแลกกับอะไรที่มีความสำคัญอีกอย่างของเธอ...ที่เธอควรได้รับ อย่างที่วัยและพัฒนาการของเธอควรจะเป็น


ผมนำมาลงกระทู้ก็เนื่องด้วยต้องการให้ท่าน สละเวลาอันมีค่าของท่านสักนิด ช่วยมาชี้แนะผม เพื่อที่ผมจะได้นำเอาความเห็นเหล่านั้นมาประมวล แง่หนึ่งเพื่อเป็นการช่วยในการตัดสินใจ แง่หนึ่งก็คือชีวิต มุมมองในทัศนะของท่านต่อชีวิต ชีวิตที่ควรจะเป็น ผมอยากได้แง่มุมแบบนั้นจริงๆ แบบบ้านๆชีวิตจริงๆที่ท่านและผมต่างก็มีแตกต่างกันไป..


ความต่างที่มีคุณค่าสำหรับผม ผมอยากได้ความต่างนั้น ครับ...


ถ้าให้ผมตัดสิน แน่นอนในแง่มุมมองของความรักที่มีต่อลูก ความสงสาร ความกลัวที่ลูกจะลำบาก ย่อมทำให้เหตุผลที่สมบูรณ์ สำคัญอาจสูญหายตกหล่นไป เพราะความรักที่โอเว่อร์เอกติ้งนั้นก็เป็นได้


แน่นอนครับ....ผมมียังเวลา....เพื่อรับฟังจากท่านและจากเหตุผลของผมเอง



ปล่อยให้เธอได้เรียนรู้ ปล่อยให้เธอได้ใช้ชีวิต ได้มีภูมิคุ้มกันที่มิอาจสอน เขียนได้ แต่ทำยากจริงๆนะ...จะบอกให้ 


 

ความเห็น

...ไม่เคยมีลูก แต่มีพ่อ-แม่ 

มีพี่-น้อง และหลานๆ และมีประสบการณ์

ของครอบครัว ที่เคยผูกพันธ์ เล่าสู่กันฟัง

จากที่เคยอยู่ เคยรับใช้ พ่อ-แม่ คู่หนึ่ง

ที่เป็นทั้งเจ้านาย และครูบา-อาจารย์ที่เคารพ

ครอบครัวนี้ ลูกสาวคนโต(ขณะนั้น)

เรียน ม.ปลาย คนรองเรียน ม.ต้น

ลูกชายคนสุดท้อง 2 ขวบกว่าๆ

ยังไมไปโรงเรียน เคยถามว่า

อาจารย์ ไม่ส่งน้องเข้าเรียน

อนุบาล รึ   อ.ผู้ชาย ก็เลยเล่าให้ฟังว่า

ลูกสาว ทั้งสอง ก็ไม่ได้เข้า อนุบาล

อ.เลี้ยงและสอนเอง จน 7 ขวบ

แล้วเข้าเรียนชั้น ป.1 เลยทีเดียว

เพราะฉะนั้น น้องเล็กก็เหมือนกัน จะให้เข้า ป.1

ทีเดียวเลย เราถามว่า ไม่กลัวน้องพัฒนาการ

ไม่ทันเพื่อนๆรึ อ.ก็บอกว่า ไม่กลัว

แล้วถามกลับว่า เห็นพี่ๆ เขาเป็นงัยบ้างล่ะ

แหม ก็ลูกเค้า น่าภูมิใจน้อยเมื่อไร ฉลาด เฉลียว

เรียนดี เกรดดี เป็นนักกีฬา ของโรงเรียน

น่าภูมิใจกว่านั้นคือ สองสาวเป็นเด็กมีน้ำใจ

รู้จักประหยัด รู้ว่าพ่อแม่เป็นเพียงครู ธรรมดา

ไม่ร่ำรวย กิจกรรมตอนเย็น ของทุกวันคือ

พ่อแม่ลูกเล่นกีฬา บาสเก็ตบอลด้วยกัน

รวมกับลูกศิษย์ของพ่อครู เป็นที่สนุกสนาน

พ่อครูกับลูกเหมือนเพื่อนเล่นกัน

 มากกว่าจะเป็นพ่อ-ลูก แม่ครูก็ด้วยหลังเล่นกีฬา

ทุกคนก็ช่วยกัน เข้าครัวทำอาหาร

ทานข้าวกันพร้อมหน้า ต่อจากนั้น ก็เป็นเวลา

ทำการบ้าน เจ้าตัวเล็กก็ต้องเรียนหนังสือด้วย

เลยถึงบางอ้อ ว่าทำไมลูกอาจารย์ถึงอ่านได้ขียนได้

ทั้งๆที่ไม่เคยไปโรงเรียนเลย เราซึ่งไปอยู่บ้านอาจารย์

เพื่อเรียนหนังสือ และทำงานบ้าน ก็ไม่ใช่ทำคนเดียว

น้องๆลูกของอาจารย์ ก็ทำงานบ้านเท่าๆกัน แบ่งกันทำ

ใครเสร็จก่อน ก็มาช่วยคนที่ทำยังไม่เสร็จ   พูดถึงงานสังคม

อ.ทั้งสองก็ออกงานน้อยมาก แต่กับบรรดาลูกศิษย์

ที่พ่อแม่ไม่ค่อยมีเงิน  อ.คอยช่วยเหลือหลายคนทีเดียว

ป้าหน่อยก็หนึ่งในจำนวน นศ.ที่ไปอยู่บ้าน อาจารย์ ตอนเรียน

รู้สึกได้ ถึงความโชคดี ที่ได้มาอยู่กับครอบครัวนี้

งานทุกอย่างในบ้าน เราเต็มใจที่จะทำให้ทั้งหมด

แต่อาจารย์ก็ยังให้ลูกๆ ช่วยทำ เพื่อให้ลูกรู้จักทำงาน

และรู้จักช่วยเหลือคนอื่น ที่เล่ามาทั้งหมด

คงไม่อาจเทียบได้ครึ่งของจริง ที่ประสบ+ประทับใจมา

แต่อยากชี้ให้เห็นตัวอย่างว่า ความรักความอบอุ่น

และการสั่งสอนของพ่อแม่ สามารถสู้กับ

 รร.อนุบาลดีๆ(ที่เขาว่า) ได้เสียยิ่งกว่าได้อีก.

 

 

**ขอ อนุญาต อ.ที่เขียนถึงด้วยความเคารพ กราบขออภัย

ที่ไม่ได้เรียนขออนุญาตก่อนค่ะ** 

ลูกอิสานกันดารแท้ แต่บ่อเหี่ยวทางน้ำใจเด้อ
หากแหม่นใหลหลั่งรินปานฝนแต่เมืองฟ้า
มาเด้อพวกพี่น้อง สานสัมพันธ์ให้มันแก่น
ให้ยืนยาวแนบแน่นพอปานปั้นก้อนข้าวเหนียว เด้อพี่น้อง

เข้ามาศึกษาเรียนรู้ด้วยคน บางทีคิดว่าคนสมัยก่อนสอนลุกดีนะสอนแบบให้ช่วยตัวเอง เราจึงแข้มแข็ง เด็กสมัยนี้ อะไรนิดหน่อยก็ไม่ได้ สบายจนเคยตัว เรียนจบสูงพอทำงานเงินเดือนน้อยก็บ่นว่าไม่สมศักดิ์ศรี รอจะเอาที่งานดี เงินเยอะ แต่ไม่มีเลยตกงานเพียบเลย

 

 

msn:lekonshore@hotmail.com

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร

แต่ทำงานใกล้ชิดกับนักเรียน ทำให้รู้ว่าอะไรที่ยัดเยียดเกินไปทำให้เด็กล้นได้ ล้นที่จะรับ ล้นที่จะอยากไม่รู้จักสิ้นสุด การเลี้ยงอาจจะไม่มีสูตรสำเร็จลง แต่ที่สังเกตได้พ่อแม่รุ่นใหม่จะชอบวางแผนโน่นนี่นั่นให้ลูก เรียนที่ไหน เรียนสาขาอะไร เรียนแล้วจะทำอะไร .... หากพ่อแม่แค่ชี้แนะและให้ลูกตัดสินอาจจะดีไม่น้อย แต่บางครั้งก็บอกได้ยากมาก มันเป็นเรื่องของอนาคต...


การใช้ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีใครบอกได้ว่าเรียนอย่างไรจึงจะดีที่สุด ดังนั้น บางครั้งอาจจะใช้ความรู้สึก ตัดสินเอาก็ได้คะ..

...2553 ปีที่ 1 ที่เริ่มเดินตามรอยพ่อ...

ไม่เคยมีลูกเหมือนป้าหน่อยแต่มีหลานที่เพิ่งเข้าเรียนอนุบาลปีนี้ หลังจากร้องไห้อยากไปรร.มา 1ปีเต็มก็ได้ไปซะทีจริงๆแล้วความสามารถเรื่องเงินทองที่จะส่งให้เรียน Pre-KG ก็ได้แต่พ่อแม่ยังเห็นว่าอายุยังน้อยอยู่เพิ่งได้อยู่กับพ่อแม่แค่สองปีเองจะต้องไปรร.ซะแล้วหรอเลยคิดกันว่าให้เรียนอนุบาลเลยทีเดียวดีกว่าและทางรัฐบาลที่นี่(ดูไบ)ก็ไม่ได้บังคับให้เด็กเรียนเตรียมอนุบาล  เวลาเรียนของเด็กอนุบาลที่นี่เริ่ม 8.00-13.30 ระดับประถม 8.00-14.30น.เห็นว่าเวลาก็สมควรแก่เด็กกลางวันก็กลับทานข้าวบ้านพร้อมพ่อแม่ลูก เพราะราชการที่นี่ก็ทำงานถึงบ่ายสอง เวลาที่พ่อแม่อยู่กับลูกก็เยอะขึ้น อยากให้เมืองไทยเป็นอย่างนี้จัง  แต่ก็มีเพื่อนคนนึงเค้ามีลูกสองคนอยู่ ป.2กับป.4 เค้าไม่ได้ให้ลูกไปเรียนหนังสือที่รร.แต่เค้าจะสอนลูกที่บ้านเง แบบโฮมสคูล เคยถามเค้าว่าไม่กลัวว่าลูกจะไม่มีสังคมหรอ  เค้าก็ว่าสังคมปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้ดีสำหรับเด็กเท่าไหร่แต่เค้าก็ส่งลูกเล่นกิจกรรมต่างๆ พวกกีฬาหรือดนตรี แล้วมีเวลาไปเที่ยวตลอดไม่ต้องกลัวว่าขาดรร. เค้าก็พาไปทัศนศึกษาเองพาไปเห็นของจริงทุกอย่าง ถามลูกๆเค้าๆก็ชอบที่จะเรียนที่บ้านมากกว่า  ก็คิดว่าเป็นทางเลือกหนึ่งในปัจจุบัน แต่พ่อแม่ต้องมีเวลาและความรู้พอที่จะสอนลูกให้ได้มาตรฐานของเด็กในวัยเดียวกัน

ต่างคนก็ต่างมุมมอง ต่างจิตใจ แต่ต่างก็ดีๆกันทั้งนั้น ได้อ่านแล้วก้นำมาปรับใช้กับตัวเองได้มากจริงๆ


ทุกคนมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น ...


และบางครั้งเหตุผลอย่างเดียว...ไม่พอ


(ขออนุญาต แก้ไขบางตอนที่ไม่เหมาะสมนะคะ คุณมานี มานะ วีระ ชูใจ)


 


 

แต่ละคน ก็ชอบไม่เหมือนกัน ส่วนเหตุผลนะหรือ มาตามหลังค่ะ เอามาอธิบายความพอใจที่เราจะเลือกเดินทางไหน มากกว่า


แก้วเลือกที่จะเลี้ยงเด็ก แบบที่เขาได้เป็นเด็ก ...ไม่ต้องเก่งอะไรมาก ไม่ต้องกินสารอาหารดีเด่นเลิศเลอ ไม่ต้องมีการพัฒนาอย่างที่จีเนียส เขาเป็นกัน


ขอให้เขาเป็นเด็กบ้านๆ ที่มีความสุข รู้จักโลกและชีวิต และ มีเวลาให้กับครอบครัว


เพราะฉะนั้น เด็กในบ้าน จึงเริ่มเข้าโรงเรียน ตอนเกือบสี่ขวบ ด้วยเหตุผลว่า เขาสามารถ กินเอง ถ่ายแล้วชำระเป็นเอง ไปโรงเรียนได้โดยไม่ร้องไห้ขอกลับบ้าน เขาจึงค่อยไปโรงเรียน


ในระหว่างที่อยู่บ้าน ก็แค่ ก ไก่ ขไข่ สอนๆกันไป ไม่ได้มีพัฒนาการกับเด็กในโรงเรียน แต่มีพัฒนาการ ในการรู้จักเคารพปู่ย่า ตายาย และการช่วยเหลืองานบ้าน


เมื่อเข้าเรียนช้า คิดว่าคงโตโข่ง เรียนก็ช้ากว่าอายุ แต่ความจริงกลับไม่เป็นอย่างนั้น เขาสามารถ ขึ้นอนุบาล2 ได้ ในเทอมที่2 เท่ากับว่า ปีแรก เรียนได้2ชั้น และผลการเรียน กลับดีมาก


เพราะเขาพร้อม ที่จะเรียนรู้


สิ่งที่เราได้จากความพร้อมอีกอย่าง ก็คือ เขาไม่ได้ติดหวัดบ่อยๆ ซึ่งเด็กเล็กๆ ที่ไปโรงเรียน จะเป็นกัน 


และเขาก็ไม่เคยเรียนพิเศษเลย จนกระทั่งจบมัธยม 


นี่เป็น วิธีคิดแบบแก้ว และครอบครัว คุณมานะ คะ ที่สำคัญที่สุดคือ ทุกคนในครอบครัว ควรเห็นตรงกัน เป็นเสียงเดียวค่ะ ไม่ใช่ระบอบเสียงข้างมากนะคะ เพราะจะมาถกเถียงกันภายหลังแน่นอน ว่าที่เป็นอย่างนี้ เพราะความคิดของอีกฝ่าย


แก้วจะเลี้ยงเด็กแบบที่คิดว่า  ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีเรา แล้วเขาจะอยู่ยังไง แก้วคิดแบบนั้นค่ะ


วันนี้ตอบยาวเป็นพิเศษนะ เอาใจคนมีลูกแล้ว อิอิ


 

 

ถ้าคุณ มานี มานะ วีระ ชูใจ เชื่อในหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง การเลี้ยงลูกแบบพอเพียงและเพียงพอ ก็น่าสนใจไม่น้อยน่ะค่ะ ให้เธอ (ลูกสาวสุดที่รักคนนั้น) ได้มีความสุขในวัยเด็กให้เต็มที่ ให้เธอได้ค่อย ๆ เรียนรู้ซึมซับความรักความอบอุ่นจากอกแม่และอ้อมแขนพ่อ ให้เธอได้รู้จักตัวเองให้มากที่สุดว่าชอบอะไร ถนัดอะไร เมื่อโตขึ้น เพราะมีเด็กหลายคนที่ความสามารถพิเศษหายไปตั้งแต่วัยเด็ก เพราะพ่อแม่ยัดเยียดเขาเข้าระบบจนหาตัวเองไม่เจอะ ทำงานอย่างที่สังคมคิดว่าดี เรียนเก่งหน่อยให้เป็นหมอ เป็นวิศวะ เรียนปานกลางก็บริหารธุรกิจ หรือที่ไหนก็ได้ที่เอ็นติด ฯลฯ แม่ข้าวเหม่าก็เป็นหนึ่งในเด็กเหล่านั้นค่ะ ที่เพิ่งมารู้จักตัวเองก็อายุปาเข้ามาขนาดนี้แล้ว บางครั้งเมื่อหวนคิดถึงอดีตคำถามว่า "ทำไมวันนั้นเราไม่ทำน่ะ" ก็ผุดมาให้เสียดายเป็นครั้งคราวเหมือนกัน เป็นแค่ความคิดเห็นหนึ่งของคนที่ยังไม่มีโอกาสเป็นแม่ แต่ถ้าโชคดีมีวันนั้น นี้ก็คงจะเป็นแนวทางที่อยากให้ลูกได้เดิน

ตอนลูกจะเข้าเรียนอนุบาล ตอนนั้นก็เลือกหลายที่เหมือนกันไปดูกันถึงโรงเรียนเลย ทุกๆแนว ในกรุงเทพ มีให้เลือกเยอะ และก็มาจบลงแบบเตรียมความพร้อม ที่โรงเรียนการศึกษาแนวพุทธ เขาสอนเน้นความเข้าใจธรรมชาติ การอยู่รวมกันในสังคม การใช้ทักษะด้านสรีระ การสอนเชิงธรรมะ ให้เด็กมีสมาธิ สวดมนต์ เข้าใจโลก สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมรอบตัว สอนให้รักธรรมชาติ พาเด็อนุบาลไปสัมผัสกับทุกสิ่งๆที่อยู่รอบตัวเขา ทั้งเทคโนโลยี่ เกษตร ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ทุกอๆย่าง ไม่เน้นการเขียน อ่าน แต่ก็ไม่ได้ทิ้งการเรียน แต่เรียนยังไงให้เด็กมีความสุขมากกว่า เด็กๆชอบไปโรงเรียนทุกคน ไปแล้วสนุก พอเด็กมีความพร้อมเรื่องอารมณ์ ร่างกาย และจิตรใจ การเรียนก็กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ของเขา


ผมว่าอยู่ที่พ่อแม่ว่าเลือกแนวใหนให้ลูกมากกว่า จะเลือกแนวเตรียมความพร้อม หรือแนวเรียนอ่านออกเขียนได้ อันนี้คำตอบอยู่ในใจพ่อแม่ สำหรับพี่ๆคิดว่าทำอย่างไรก็ได้ให้เขาไปเรียนแล้วมีความสุข เข้าใจโลกเข้าใจธรรมชาติ และมีธรรมะในใจ เด็กเหมือนผ้าขาวเราจะแต้มอะไรลงไปก็ได้ เด็กรับได้หมด แต่อนาคตที่เขาจะไปต่อนี่แหละสำคัญถ้าพื้นฐานเขาไม่พร้อมโตไปก็ลำบาก แค่อ่านออกเขียนได้แบบท่องจำ ลูกท่องศัพท์ภาษาอังกฤษได้เยอะ อย่าคิดว่าเขาเก่ง เด็กๆหัดง่ายสมองเขายังว่างใส่อะไรเข้าไปก็ได้ เพราะฉะนั้นเด็กต้องมีเความพร้อมของอารมณ์ ร่างกาย จิตรใจและความเข้าใจสิ่งต่างๆก่อน เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อเขาจะได้โตขึ้นไปแบบมีคุณภาพ 

การเป็นคนที่แก่ขึ้น แก่กาลเวลา เคยผ่านมาแล้ว ก็มีข้อดีคือเราได้ประสบการณ์นั้น ๆ มาแล้ว แม้ว่าตอนมีประสบการณ์นั้นอาจจะไม่น่าภิรมย์เท่าไหร่นัก แต่หากเราผ่านไปได้สิ่งที่ได้รับก็คุ้มเสมอหากเราเลือกคิดและนำมาใช้เป็น


ผมก็เคยอยู่ในสถานะการณ์แบบเดียวกับคุณมานี มานะ วีระ ชูใจ มาเหมือนกันครับ ความรู้สึกเดียวกัน การปฏิบัติ คล้าย ๆ กัน เริ่มจากศึกษาข้อมูลความรู้แนวต่าง ๆ ใจน่ะอยากให้ลูกได้โตแบบธรรมชาติ แต่สิ่งแวดล้อมเดี๋ยวนี้มันธรรมชาติอยู่หรือเปล่า สังคมเป็นแนวความคิดที่ควรเป็นอยู่ไหม สิ่งที่เราคิดที่จะให้เขานั้น  ต่างจากระบบที่เราเรียกว่าเห็นอยู่จริงหรือ แล้วเมื่อลูกต้องเข้าเรียนร่วมกับเพื่อน ๆ เมื่อถึงวัยเกณฑ์บังคับแล้วลูกจะกดดันไหม ผมว่าสิ่งทั้งหมดนี้เราคงต้องพิจารณาว่า องค์ประกอบต่าง ๆ นั้นมีความพร้อมแค่ไหน จะทำให้เราได้มีข้อมูลตัดสินใจได้อย่างเป็นระบบและไม่กดดันเมื่อต้องตัดสินใจ


ตัวอย่างเช่น


1. เด็ก อยู่ในสภาวะใด ต้องการความช่วยเหลือแค่ไหน ลูกผมสองคนก็ต่างกัน


 2. เป้าหมายของความคิด เขาว่าความคิดสำคัญที่สุด คนคิดสำคัญที่สุด ศาลจึงตัดสินลงโทษคนที่เป็นต้นคิดและบงการหนักที่สุด ฉะนั้นเราคิดอะไรเรามักจะทำตามนั้น เราต้องการให้ลูกเติบโตไปในระบบไหน สำพันธ์กับโลกภายนอกอย่างไร


3. ครอบครัว มีความพร้อมสอดคล้องกับแผนการที่เลือกอย่างไร แค่ไหน


 4. สิ่งแวดล้อม ที่ลูกจะเติบโตต่อแต่นี้เป็นอย่างไร หากลูกอยู่ที่บ้านจะอยู่กับสังคม สิ่งแวดล้อมอะไร ควบคุมได้ไหม


5. ทุนทรัพย์ สำคัญที่ต้องสอดคล้องกับแผนการณ์และเหตุการณ์ปัจจุบันและอนาคตอีกยาวไกล


6. เวลา ที่มีอยู่กับการบริหาร


7. อื่น ๆ


ผมมักจะย้อนคิดกลับไปเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเสมอ ๆ เวลาคิดอะไรไม่ค่อยออก ไม่เห็นเป็นภาพ ว่าเมื่อเวลานั้นของเราเป็นอย่างไร มันมักจะเวิร์ค(ได้ผล)กับผมเสมอ ๆ เช่น ไม่รู้ว่าลูกคิดอะไร ต้องการอะไร ก็ย้อนคิดถึงความรู้สึกของเราเมื่อวัยนั้น ๆ ทำให้เราConnect (ปฏิสัมพันธ์) กับลูกได้อย่างลงตัวเข้าถึงกันได้ดี


ผมว่าเราทุกคนต่างผ่านช่วงเวลานี้กันมาแล้วทั้งนั้น จึงสามารถเอามาเทียบเคียงได้กับเวลาปัจจุบันของลูกเราได้ เช่นผมเมื่อยังเป็นเด็กเล็ก ไม่ได้เข้าอนุบาล เข้าทีเดียว ป.1 เหตุการณ์ที่เกิดในเวลานั้นก็คือ ผมอยู่กับพ่อแม่ ติดตามท่านไปทำงานสวน งานนา ถามว่าเต็มไหมในความรู้สึกบอกได้ว่าสุด ๆ ผมว่าผมก็ไม่ต่างจากลูกหมาลูกวัวป่า ลูกสิงโต เก้ง กวาง ที่ได้โตแบบธรรมชาติ แบบแม่ไปไหนถึงเวลาความพร้อมได้ไปด้วยสิ่งที่ได้รับเวลานั้นยังคงประทับรอยลึกในหน่วยความทรงจำให้ได้นำมาระลึกออกมา เป็นตัวเรียกสารความสุขให้เราได้รื่นรมย์เมื่อยามล่วงวัยได้เป็นอย่างดี ประมาณเล่าความหลังอย่างเป็นสุข ผมเคยคุยกับแฟนซึ่งเป็นคนเมือง แม้ว่าเขาไม่มีประสบการณ์ป่า ๆ แบบผม ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้เขาขาดในความรู้สึกแบบที่เรามี เขาก็จะสุขในสภาวะนั้น ๆ ที่เขาเห็นเขาแวดล้อมเมื่อยังเป็นเด็ก ผมคิดว่าเด็กไม่ค่อยทุกข์หรอกหากแม้นว่าเขาไม่ทุกข์ทางกายมาก เขายังปรุงแต่งไม่เป็น แม้แต่เด็กที่เกิดและโตในสภาพที่ไม่ดี แต่ไม่มีสิ่งกดดันทางใจ เขาก็สุขได้ง่าย ๆ


มาต่อที่ผมดีกว่า เมื่อผมเข้าโรงเรียน แม้นว่าผมจะได้เรียน ก ไก่ ข ไข่ มาบ้าง แต่เพื่อนผมที่เข้าอนุบาลมา เขาไปไกลกว่านั้นมาก ทำให้เวลาเรียน ผมจะตามเพื่อนไม่ทันในช่วงแรก ยังจำได้บางตอนว่า คุณครูให้ไปเขียนหน้ากระดาน แล้วเราทำผิด น หนูเป็น ม ม้า เรียนเลข บวกไม่ได้ ลบไม่ได้ โดนคุณครูบิดพุง (ต่อมาท่านเป็นคุณครูที่ผมเคารพมากที่สุดในระดับชั้นประถมเชียวหล่ะ) เมื่อถึงเวลาพักกลางวันยังจำได้ว่าผมยังนั่งอยู่ที่โต๊ะเรียน ไม่ได้ไปทานข้าวนั่งอยู่กับหนังสือที่ทำไม่ได้ด้วยความรู้สึกเหมือนเพิ่งขึ้นสังเวียนแล้วโดนน๊อคคามุม ผู้ชมไปกันหมดแล้ว แต่ผมยังนั่งคามุมอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครหรอกที่รู้ว่าในหัวผมมีอะไร คนที่เคยเป็นเท่านั้นถึงจะรู้ได้ ช่วงเวลานั้นเอง นางฟ้าของผมก็ปรากฏตัวขึ้น เธอเป็นรุ่นพี่ผม 2 ปี ถ้าจำไม่ผิดเธอชื่อเล่นว่า พี่เยื้อน แปลว่าไรไม่รุ๊ แต่เธอดีมาก เข้ามาถามไถ่ สอนบอกสิ่งที่ผมยังไม่สามารถจินตนาการตามคุณครูได้ทัน ไอ้บวก ลบ มันสมมุติกับจริงสัมพันธ์กันอย่างไร น่าอัศจรรย์ใจยิ่งสำหรับผม ทำไมเธอเป็นพี่ผมแค่ 2 ปี แต่สามารถสอนผมได้ให้เข้าใจเพียงไม่กี่แวบกระพริบตา แต่กับคุณครู ผมโดนบิดพุงซะน่วมเป็นมะนาวกลับไม่ Get.... เมื่อประตูมันเปิดก็ไม่ยากไม่เย็นอีกแล้ว ไม่นานผมก็เรียนทันเพื่อน และเป็นเด็กเรียนดี ได้ลำดับหัวแถวหรือรอง ๆ มาโดนตลอด ด้วยความที่ผมรักการอ่าน (เน้น ๆ ว่าสำคัญมากเรื่องนี้ติดตัวผมมาทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่ผมมารู้ทีหลังว่า มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่ทำให้เราได้รับความรู้ เรียนรู้ได้เองโดยไม่ต้องรอจากใคร ๆ ซึ่งโรงเรียนไม่ค่อยได้ปลูกฝังกันอย่างจริงจังในสมัยนั้น)


ที่เล่าซะยาวก็แค่พยายามฉายหนังเก่าซ้ำเพื่อเรียกภาพความทรงจำของพวกเราเมื่อครั้งอดีตมาใช้งาน เปรียบเทียบกับปัจจุบันของลูกเรา ผมว่าแม่พ่อเราก็คงคิดเหมือนเรานะ แม้ว่าเราคิดว่าสังคมเปลี่ยน แต่ผมว่ามันเปลี่ยนตลอดแหละ อยุธยาก็ไม่เหมือนกรุงเทพฯ สมัย ร. 5 อดีตไม่ได้แช่แข็งเหมือนเดิมแล้วเพิ่งมาเปลี่ยนสมัยเราเท่านั้น มันเปลี่ยนตลอดตามเวลาตลอดเวลา เพียงแต่ว่า สิ่งที่เปลียนนั้นมันยังไม่ได้เกิดขึ้นกับเราเท่านั้นเอง คนเข้าโรงเรียนทุกปี คนแต่งงานทุกวัน คนเป็นพ่อแม่คนทุกนาที คนเครียดเรื่องสังคมเปลี่ยนเนื่องจากต้องคิดเรื่องส่งลูกเข้าเรียนเกิดขึ้นทุกปี เพียงแต่ว่ามันเพิ่งเกิดที่เรา.........


ผมขอให้กำลังใจคุณ มานี มานะ วีระ ชูใจ แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปเหมือนกับที่มันเคยเกิด พิจารณาด้วยสติ ประกอบกับเหตุผล แล้วผลมันออกมาเป็นอย่างไร ก็อยู่กับมัน อยู่กับปัจจุบันที่จะเกิดในอนาคตแล้วปฏิสัมพันธ์กับสิ่งนั้นไป แล้วมันก็จะเป็นวันนี้ในอนาคต และก็จะเป็นอดีตในอนาคตของเราไปครับ


ขอมอบหนังสือเพื่อประกอบการตัดสินใจในห้วงเวลาที่แสนจะบีบใจ ที่ผมเคยได้ลิ้มรสมา แด่คุณ มานี มานะ วีระ ชูใจ และเพื่อน พี่ ทุกท่าน เป็นหนังสือที่ดีมากของท่านเจ้าคุณ ป.อ. ปยุตโต


เรื่อง "รุ่งอรุณของการศึกษา"



http://www.4shared.com/document/vHMa0Z-2/_online.html 


"การศึกษาเริ่มต้นเมื่อคนกินอยู่เป็น"



http://www.4shared.com/document/Ubebm7-S/_online.html 


วิธีการเรียนรู้ที่โรงเรียนรุ่งอรุณ



http://www.4shared.com/document/oOO7_DTz/_online.html


รุ่งอรุณ...สัตยาไส โรงเรียนธรรมชาติเพื่อการแก้ปัญหา


http://www.4shared.com/document/f825Kb9s/________.html


และ "สยามสามไตร"



http://www.4shared.com/document/MRLpgPYl/_online.html


 


 ผมและครอบครัวขอส่งกำลังใจให้คุณและครอบครัวอีกครั้งหนึ่งครับ


เป้าหมายสูงสุดของเกษตรกรรม ไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล แต่คือการบ่มเพาะ ความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์.... มาโซโนบุ ฟูกูโอกะ

ตอนเด็กๆ ไม่ได้เรียนอนุบาล เพราะบ้านนอกไม่มีอนุบาล มีชั้นเด็กเล็ก ต้องเรียน 2 ปี ก่อนเข้า ป.1 อ้อมีชั้นเหมือนเหมือนเตรียมเด็กเล็กด้วย แม่จับส่งไปเรียนชั้นเตรียมเด็กเล็ก คือก่อน 5 ขวบ จำได้ชัดเจนว่าทรมานมาก ร้องไห้อยากกลับบ้านทุกวัน ร้องจนครูต้องตามให้แม่มารับกลับไปบ้าน ไม่ชอบโรงเรียนเลย ไม่มีความทรงจำดีๆเกี่ยวกับโรงเรียนแรกในชีวิตเลยไม่มีซักอย่าง ที่จำได้ แค่เรื่องร้องไห้อยากกลับบ้านกับเรื่องเพื่อนฉี่รดหมอนของตัวเองจำแม่นแค่เรื่องนี้สรุปว่าต้องออกจากโรงเรียน พอถึงเวลาต้องเข้าชั้นเด็กเล็กคราวนี้ย้ายที่เรียนเขาบังคับเรียนหรือเปล่าไม่รู้แต่ต้องไปเรียน โตขึ้นมาหน่อย 5 ขวบไม่ค่อยงอแงแล้ว เริ่มได้เรียนหนังสือบ้างพออ่านได้ ช่วงนี้สิ่งที่เป็นแรงดึงดูดให้มาโรงเรียน คือหนังสือเรียนชั้น ป.1ที่วางอยู่บนโต๊ะคุณครู ตอนเที่ยงชอบแอบตรงซอกโต๊ะครูแล้วอ่านหนังสือเล่มนั้น มานี มานี มี ตา ยังจำได้ อ่านเกือบทุกวัน เรื่องที่โรงเรียนจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่เรื่องที่จำได้ดีคือ ตอนปิดเทอมแม่จะส่งไปอยู่กับตากับยาย ตากับยายอยู่หนำบนควน ไม่มีไฟฟ้า มีแต่สวนยางกับป่าแก่ หุุงข้าวทำกับข้าวด้วยถ่าน ไม่มีเตามีแต่ก้อนเส้าไว้ทำกับข้าว จำช่วงที่อยู่กับตากับยายได้ว่ามันมีความสุขที่สุด จำได้แม้แต่ว่าตอนก่อนนอนต้องดึงเศษไม้ไผ่ที่สานเป็นฝามาเผาไฟที่ตะเกียงเล่น เรื่องอาหารการกิน ไม่มีตู้เย็น ของที่ยายซื้อติดหนำคือปลาเค็ม ของสดไม่ต้องพูดถึง นานจะมีหมูซักที ซื้อมายายก็ใส่เกลือตากทำเค็ม ของสดที่ได้กินบ่อยคือ ไก่เถื่อนกับมูสัง ไก่เถื่อนตายิงได้บ่อยๆ คิดว่าตัวเองกินตับไก่เถื่อนมาทั้งชีวิตไม่ต่ำกว่า 30 ตับ เพราะพอต้มแล้วตากับยายจะเอาตับไก่ไว้ให้หลาน ส่วนมูสังนานๆได้มาที ตาเข้าป่าทีมักจะได้สัตว์แปลกๆมา เคยมีหนนึงตายิงไก้เถื่อนโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นแม่ไก่ลูกอ่ิอน ยิงแม่แล้วต้องจับลูกกลับมาด้วย ลูกไก่เถื่อนเป็นลูกสัตว์ที่เปรียวมากยังเล็กแต่วิ่งเร็ว ซ่อนเก่ง ตาได้มา 5 ตัว เอามาให้หลานเลี้ยง ตาหาเคง(ปลวกที่ทำรังบนต้นไม้)มาให้เลี้ยงแต่ด้วยความที่รู้ว่าไก่กินข้าวเลยแอบเอาข้าวสารเม็ดให้ลูกไก่ ปรากฏว่าขี้ขาวตายเกลี้ยงทั้งที่น่าจะรอดแล้วจบเรื่องลูกไก่เถื่อน นอกจากนี้ก็มีลูกสัตว์อีกหลายอย่าง ลูกมูสังหลงแม่ 4 ตัว ลูกนกพังก้า(นกกระเต็น)ที่ขุดโพรงทำรังที่หลุมเผาถ่านของตา ได้เลี้ยงสัตว์หลายอย่างมาก มีอีกหลายเรื่องนอกจากสัตว์เลี้ยง ทั้งไปรุนปรนกับตา น่ำข้าว(ปลูกข้าว) ตกปลา เก็บพริก ไปเฝ้าว่าเมื่อไหร่แตงโมที่ตาปลูกไว้ที่ปลายไร่จะสุกซะที (เรื่องนี้ตรงกับเนื้อหาในหนังเรื่อง Littletree ที่ได้มีโอกาสอ่านตอนเรียนมหาลัย ทำให้ชอบหนังสือเล่มนี้มาก) ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความทรงจำที่งดงาม ยังจดจำได้จนทุกวันนี้ ต่างกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนตอนเด็กๆจำอะไรไม่ได้เลย 

คิดถึงตัวเองตอนนี้ยังไม่มีลูกคิดไว้ว่า ถ้ามีลูกจะให้ลูกอยู่กับตัวนานที่สุด จนถึงเวลาที่ควรเข้าเรียนจริงๆอาจจะถึงเข้า ป. 1 ถ้าทำได้ เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าเขาบังคับเรียนอนุบาลหรือเปล่า วัยเด็กเป็นความทรงจำอันแสนหวานของผู้ใหญ่ แล้วทำไมผู้ใหญ่ถึงจะยัดเยียดอะไรก็ไม่รู้ให้เด็ก พ่อแม่ก็อยากให้ลูกเป็นโน่นเป็นนี่ เหมือนกับอยากจะชดเชยสิ่งที่ขาดของตัว คิดว่าสิ่งนั้นดีแล้ว พูดมากไปก็ยังไม่มีลูก ถ้ามีจริงๆลูกดวงอาจจะเข้าโรงเรียนตั้งแต่ขวบครึ่งก็ได้ สองขวบครึ่งก็เริ่มเรียนพิเศษแรกๆก็เฉพาะตอนเย็น ต่อไปก็เพิ่มเสาร์อาทิตย์ เรียนช้าไปเดี๋ยวสอบเข้าสาธิตเกษตรไม่ได้ ฝันๆไปจริงแล้วไม่มีปัญญาส่งลูกเรียนอนุบาลแพงๆค่ะ ก็ทำไร่เล่นขี้ดินที่ไร่กับแม่ไปก่อนนะลูกรัก

555 ไปล่ะค่ะตอนนี้ยังไม่เครียดเพราะยังไม่มีลูก ปล่อยคุณมานีฯ เครียดล่วงหน้าไปก่อน เด๊่ยวเราจะตามท่านไป ตอนนี้ 5.52 น.เตรียมตัวไปไร่ล่ะค่ะ Laughing

หน้า