บังคับขา..พาตาดู..ภูกระดึง

หมวดหมู่ของบล็อก: 

อย่างที่เคยบอกไว้ว่า..24-28 มค.จะไปย่ำภูกระดึง..ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง..นับจากครั้งแรกที่ขึ้นไปเมื่อปี 2524 ปรับเปลี่ยนโปรนิดหน่อยเดินทางเย็น 23 เลยได้กลับมาเร็วอีกวัน..เอาภาพและเรื่องราวมาฝาก..(จะทำไปเซฟไป..เรื่องยาว..ภาพเยอะ)




เริ่มออกเดินทางห้าโมงครี่งของเย็นวันอาทิตย์ (เลิกงานของผม) ไปตามเส้นทางสระบุรี สีคิ้ว ด่านขุนทด ชัยภูมิและพักคืนที่ชุมแพ (ถึงห้าทุ่ม) เช้าอีกวันรีบบึ่งไปภูกระดึงนัดกับทีมของเพื่อน (อีก 4 คน) ที่จะตามมาจากขอนแก่น..ขึ้นภู..ตอนแปดโมงครึ่ง.. 7 ชีวิต อายุกว่า 60 หนึ่งคน 50 ต้นๆสามคน ที่เหลือต่ำกว่าสามสิบ..โลด..



ดูซะก่อน..ลูกหาบ(แอบอ้าง) สัมภาระของครอบครัวผม 22 กก.ของเพื่อนที่เตรียมทุกอย่างไปให้เราอีกประมาณ 70 กว่ากิโล..ค่าลูกหาบ กก.ละ 15 บาท (แต่เราจ่ายแพงกว่าเพราะทิปให้อีกด้วยความเห็นใจและความขอบคุณ)



และนี่คือผู้มีคุณของเรา..คนเดียวหาบได้ตั้งหกเจ็ดสิบกิโล..ขึ้นถึงยอดภูก่อนเราอีก (กลุ่มผมใช้เวลาเดินขึ้น 8 ชม. ปกติคนอื่นเฉลี่ย 6 ชม. มีผู้อาวุโสไปด้วย..เดินไปหยุดไปกินไป..ขาลงใช้เวลา 6 ชม.)


 







ทางขึ้นก็มีทั้งชันมากชันน้อย..ไปเรื่อยๆเมื่อยก็หยุด..ไม่รีบร้อน..ถึงหลังแป (ยอดภูตอนบ่ายสามครึ่งเดินทางราบไปที่พักอีก 3.8 กม. ถึงสี่โมงกว่าๆ)


ซำแฮก คือ คือซำแรกที่ชันและเหนื่อยเอาเรื่อง..ใครๆที่เคยไปคงจดจำกันได้..(เอ..เค้าให้คนตาบอดขึ้นไปขายล็อตเตอรี่ด้วยปะ..คนซ้ายมืออะ)



ขึ้นถึงยอดภู..(ปีนมาเกือบสิบกม.) ต้องเดินทางราบบนยอดภูจากหลังแป อีก 3.8 กม.จนถึงที่พัก..แดดร้อนเพราะไม่ค่อยมีร่มเงาไม้..เหนื่อยเอาเรื่อง



ที่ปักเต็นท์ทั้งเต็นท์ของป่าไม้และของส่วนตัวมีที่กว้างขวาง..ห้องน้ำสะอาด..(แต่คนเยอะก็อาจจะแย่เหมือนกัน) ช่วงที่ผมไปมีเพียงคนไปสองสามร้อยคนเท่านั้น..สบายๆดีมากเลย..ชอบจังไปแบบไม่ตรงวันหยุด..ดูสงบและสัมผัสธรรมชาติจริงๆ..








เราพักกันที่นี่..สองหลัง..มีน้ำอุ่น..อาหารทำกินกันเอง..แบบสบายๆ..ชิลๆ..มีเพื่อนชาวป่า..น้องกวางมาเยี่ยมทุกวันเช้าเย็น..มารอกินอาหารที่เราซื้อมาฝากทั้งกระหล่ำ แตงกวา โอวันติน นมช็อคโกแลต(ของโปรด) เราตั้งชื่อเค้าว่าน้องน้อยหน่า(ตัวเมีย)แลพี่ทุเรียน(ตัวผู้)


   




คืนแรกหลับเป็นตาย..ทั้งๆที่อุณหภูมภายนอกคืนนั้น 7.8 องศา..แต่ไม่รู้สึกหนาว..อาจเป็นเพราะนอนห้องที่ปิดมิดชิด..อุปกรณ์กันหนาวเพียบ..สายของอีกวันก็เดินเท้าไปเที่ยวที่ผาหล่มสัก..ผาที่ทุกคนต้องมา เดินเท้าอีกเกือยสิบ กม. (ไม่ได้ปั่นจักรยานเพราะในทีมมีคนที่ขี่จักรยานไม่เป็นคนนึง) ตลอดทางแทบไม่มีร่มเงาเลย..ร้อนแดด..แต่ดีที่มีลมบ้าง เริ่มเดินเวลาสี่โมงเช้า ถึงผาหล่มสักประมาณบ่ายสามกว่าๆ..เดินเที่ยวแวะพักทุกจุดทุกผาที่ผ่าน..ลานพระศรีนครินทร์ สระอโนดาด ผาแดง..





บรรยากาสงดงามมาก..อยู่ถ่ายภาพจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า..แล้วนั่งทานอาหารเย็นที่ร้านค้าต่อ จนกลับเป็นกลุ่มสุดท้ายประมาณทุ่มครึ่ง..เดินกลับบ้านพัก..ด้วยความหนาวเหน็บเพราะลมแรงมาก..มือแข็งจนนิ้วแทบกระดิกไม่ได้..แต่ที่เสียวกว่าคือทั้งมืดทั้งเงียบ แม้มีไฟฉายกันไปทุกคนแต่ก็เสียว..เพราะเจ้าหน้าที่บอก..มีช้างป่ามาเพ่นพ่านเหมือนกัน..ผมเดินปิดท้ายขบวน..เสียวหลังเป็นบ้าเลย..กว่าจะถึงบ้านพักเกือบสี่ทุ่ม..อ้อ..ช่วงระหว่างเดินนี้คุณดาวเรืองโทรเข้ามาพอดี คุยกันไม่ค่อยรู่เรื่องสัญญาณไม่ค่อยดี มีสัญญานเป็นบางจุด ..กลับถึงที่พักด้วยความอ่อนเพลีย..เหนื่อยสะสม..เริ่มมีอาการปวดขาปวดเข่าบ้างแล้ว..


 








เช้าวันที่สามไปดูตะวันขึ้นและชมทะเลหมอกที่ผานกแอ่น เดินเท้าไปอีกสองกิโลกว่าๆ..ตื่นตีสี่สี่สิบห้า..ไปถึงผาก่อนหกโมงนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้น..โต้ลมหนาวที่เย็นยะเยือก แต่ก็ได้ภาพที่สวยสะใจ วันนี้ได้เห็นทะเลหมอกสวยงามมาก..เสียดายที่ลูกสาวและแฟนตื่นไม่ไหว (เหนื่อนสะสมจนปวดขา ลุกไม่ขึ้น) ถ่ายภาพมาอวดพวกเขา..เลยต้องพาลูกสาวไปอีกรอบในเช้าวันรุ่งขึ้น..แต่วันนั้นไม่มีทะเลหมอก..ฟ้าปิด..ลมแรง..แต่ได้ภาพที่สวยงาม(ภาพสุดท้าย)ที่ลำแสงส่องผ่านชั้นเมฆเป็นลำแสงสวยมากๆ (วันแรกไม่เห็น) กล้องผมถ่ายได้ไม่สวยนัก หากกล้องดีกว่านี้ ภาพนี้จะสวยขนาดส่งเข้าประกวดได้เลย..งามจริงๆ..


และแล้วก็ต้องเดินทางกลับ..นัดลูกหาบเก้าโมงเช้า..กว่าจะออกเดินทางได้จริงๆก็สิบโมงกว่าถึงตีนภูบ่ายสามกว่าๆเกือบสี่โมงเย็น..ได้ประกาสชมเชยมาสามใบเพราะให้ลูกหาบหาบขยะลงเขาอีกสามสี่กิโล..(สี่ถุงใหญ่)..เดินทางกลับ้าน..ถึงบ้านห้าทุ่มสี่สิบห้าของวันพฤหัสที่ 27...เหนื่อยเป็นบ้าเลย..เสียดายไม่ได้เข้าน้ำตกสักที่ เพราะอุทยานประกาสห้ามเข้า..ช้างป่ามาน้ำตกทุกวัน..คิดว่าคงต้องไปอีกรอบก่อนอายุ 55...


 

ความเห็น

ขอคนแรกนะ...สมใจเลยอากาศดี..(เส้นทางเป็นมันมากก่วาเดิม) เจ้ากวางน้อย น่ารักมากๆ(แผนกต้อนรับ ที่ทุ่งกัมมังก็มารับแบบนี้)..มีความสุขจัง

มาคนแรก..มาเร็ว..เคลมเร็ว..เชียวนะครับ

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

ดีใจจังพี่ตั้มกลับมาแล้ว   พึ่งได้เห็นพี่ตั้มชัด ๆ ก็บล็อกนี้แหล่ะ  อยากเห็นตัวเป็น ๆ วันที่ 6 ค่ะ.....

มีความสุขกับการที่ได้ให้มากกว่าการที่ได้รับ

เป็นไง..กุ้ง..ตัวจริงไร้แว่นไร้หมวก..แก่เหมือนอาแปะมะ..วันที่ 6 ยังตอบไม่ได้เลย..ยังมะรุอนาคตตัวเองอะ

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

เค้าแบกกันหน้าตาเฉยเลยนะครับ

ถ้าชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อ

E-mail : pinit25@hotmail.com

เห็นเค้าแบกทั้งผู้หญิงและผู้ชาย..เก่งมากๆเลย..เหงื่อหยดเป็นสายน้ำเลย..ยังสอนลูกเลยว่า..นี่ถ้าเค้าหาเงินส่งลูกเรียน..แล้วลูกมันใช้เงินแบบไม่ประหยัด..ลูกว่าลูกเค้านี่มันบาปหนาขนาดไหน..

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

เป็นยอดเขายอดเดียวในประเทศไทยนะคะ ที่ข้างบนเป็นลานยอดตัด เป็นปฐมบทแห่งการเดินทางของวัยรุ่นไทยในอดีตและคงจะต่อไปในอนาคต ถ้าสร้างกระเช้า อะไรๆ ก็คงเปลี่ยนไปรวมถึงมนต์เสน่ห์ของการเดินขึ้นภู ตำนานของลูกหาบก็จะหมดไป

ใครมีลูกมีหลานรีบๆ ให้ขึ้นภูกระดึงนะคะ จะได้ไม่มีข้ออ้างว่าเราต้องการกระเช้าให้คนชราและคนพิการ เพราะเด็กๆ เราขึ้นไปแล้ว สมกับป้ายที่เขียนไว้ว่า "ครั้งหนึ่งในชีิวิตผู้พิชิตภูกระดึง" ส่วนใครที่ขึ้นหลายๆ ครั้ง ถ่ายกับป้ายเดิมอาจจะไม่สะใจ เดี๋ยวจะไปเสนอให้ค่ะ ว่าเรามีป้ายไว้อีกป้ายสำหรับพวกคนรักภูกระดึง ขึ้นมันทุกปีๆ ว่าแต่ลองช่วยกันคิดว่าจะเขียนป้ายยังไงดี?

ตามอ่านที่คุณ slowlife เขียนนำเที่ยวหลายบล็อคมาแล้ว..แต่ไม่ได้เข้ามาเม้นท์..ต้องขอโทษด้วย..แต่ตามอ่านนะ..เรื่อกระเช้าขึ้นภูนี่..ผมต่อต้านนะ..ต่อต้านอย่างแรงด้วย..ผมว่าการท่องเที่ยวที่บูมจะทำลายธรรมชาติให้เสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว..ขนาดต้องปีนขึ้นมานะ..ขวดพลาสติก..ถ้วยกระดาษยังมีให้เห็นตามใต้ผาที่เก็บไม่ถึง..เช้าวันที่อยู่ผานกแอ่น..ผมเก็บถ้วยการแฟ(กระดาษ)ที่คนกินแล้วทิ้งตามพื้น เอามาทิ้งที่ถุงขยะของอุทยานได้ตั้งหลายใบ..ตามทางเดินป่า..พวกเราช่วยกันเก็บขวดพลาสติกได้ตั้งเกือบยี่สิบใบ..เฮ้อ..ไหนจะทำลายอาชีพลูกหาบอีกละ..วิถีชีวิตของชุมชนจะเปลี่ยนไปมากเลย..อยากให้ภูกระดึงยังคงความงามอยู่ไปถึงรุ่นลูกหลาน..ผมไม่อยากให้เอากรเช้ามาลงที่นี่เลย..เสียอัตตลักษณ์ความเป็นภูกระดึงด้วย

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

เรื่องขยะกับแหล่งท่องเที่ยว เป็นเรื่องที่แย่มากๆ เลย Slowlife ไปที่อื่นบ่อย บางทีก็ต้องปลง ไม่ทราบจะทำยังไง อยู่ที่สามัญสำนึกของแต่ละคนมากกว่านะคะ คือมันแก้ไม่ได้แล้ว ต้องปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กๆ กับการเอาจริงของเจ้าหน้าที่ แต่ว่าแหละค่ะ เจ้าหน้าที่มีน้อย จะให้ไปเฝ้าทุกแห่งก็ไม่ไหว

ขนาดเดินป่าเข้าไปไกลๆ ก็ยังมีคนทิ้งแบบไม่ระวัง เช่น พลาสติกห่อลูกอม กระดาษทิชชู่ อะไรแบบนี้

ขอบคุณนะคะ ที่อ่าน blog ของ Slowlife

บรรยากาศดี อากาศดี คุ้มค่าที่เหนื่อยเดินขึ้นมาจริงๆ ขอบคุณครับสำหรับภาพสวยๆที่มาแบ่งให้ชมครับ

หน้า