การแต่งงาน

หมวดหมู่ของบล็อก: 

  เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเพื่อนบ้านเขาจัดงานแต่งงานผมก็มีโอกาสได้ไปงานนั้นด้วยแน่นอนว่างานแต่งงานต้องมีเจ้าบ่าวเจ้าสาวซึ่งผมเองก็รุู้จักกับเจ้าสาวเป็นอย่างดี  ตลอดงานเต็มไปด้วยเสียงเพลงและความสุขของเจ้าบ่าวเจ้าสาวและบรรดาญาติๆ แต่พออยู่ในงานไปนานๆ เลยเกิดความคิดที่ดูจะแปลกขึ้นมาว่า การแต่งงานคืออะไร  คือความรักความห่วงใยที่ถึงจุดอิ่มตัวหรือแค่แต่งตามธรรมเนียมกันแน่  

  ลองคิดดีๆ แล้วผมพบว่าคนทุกคนเมื่อถึงเวลาก็อยากจะแต่งงานกันทั้งนั้นและหวังว่าชีวิตหลังแต่งงานจะต้องราบรื่น  เมื่อรุ้สึกอย่างนั้นต่างพอกันดิ้นรนที่จะทำให้ชีวิตแต่งงานสบาย  บางคนคิดว่าสิ่งที่ทำให้ชีวิตหลังแต่งงานราบรื่นคือการมีเงินใช้อย่างสะดวก  บางคนคิดว่าการอยู่ในที่ที่ตัวเองไม่เคยอยู่น่าจะดีอย่างเช่นต่างประเทศ  ซึ่งผมก็ไม่เถียงมันอาจจะสบายจริงๆ ก็ได้  แต่ทำไมสถิติการหย่าร้างกลับเพิ่มขึ้นทุกปีทั้งๆ ที่ทุกคนอยากมีชีวิตที่ราบรื่น  อะไรเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การหย่าร้างเพิ่มขึ้น  ทุกคนล้วนแต่อ้างว่า ความเหินห่างและไม่มีเวลาให้กัน แต่ทำไมตอนคบกันถึงมีเวลาไปรับไปส่งกันได้เกือบทุกวัน เรื่องผมสงสัยมานานมากนานจนตัวเองเริ่มกลัวว่าชีวิตหลังแต่งงานของผมจะเป็นแบบนั้น หรือสาเหตุจริงๆ ของการหย่าร้างคือความเบื่อหน่าย  

  ถ้าเป็นความเบื่อหน่ายจริงก็สามารถอธิบายการเลิกราหย่าร้างได้ทุกอย่าง  ตอนที่เป็นแฟนเวลาเจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่หลังจากแต่งงานเราต้องพบเจอกันเกือบตลอดวันทั้งกลางวันกลางคืน  มนุษย์เราพอเจออะไรนานๆ มักจะลืมคุณค่าของมันไปสุดท้ายเราก็จะเบื่อ  เมื่อมนุษย์เบื่อก็พยายามอยู่ห่างๆ ผมคิดนี่คงจะเป็นต้นเหตุของความเหินห่างที่ทุกคนอ้าง  อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมมักจะได้ยินทางทีวีเวลาดาราหย่ากันก็คือ ยุ่งจนไม่มีเวลาให้กัน  แต่ทำไมตอนเป็นแฟนกันคือมีเวลาให้กันได้พากันไปกินข้าวได้ทุกมื้อ สามารถลางานมาเที่ยวได้ โทรหาได้โดยไม่มีเบื่อ  ไม่ว่ายุ่งแค่ไหนก็สามารถหาเวลาว่างไปหาเขาได้เสมอ  แต่ทำไมแต่งงานกันไปสิ่งเหล่านี้กลับหายไป  บางคู่แต่งกันมาหลายปีแต่กินข้าวด้วยกันแทบจะนับครั้งได้  เที่ยวได้ฉะเพาะวันหยุด  โทรหากันบ่อยๆ กลับบอกว่าวุ่นวาย  ไม่ว่างานจะยุ่งมากหรือยุ่งน้อยมักจะอ้างว่างานยุ่งจนไม่มีเวลา  อะไรคือตัวแปรที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ถ้าไม่ใช่ความเบื่อหน่าย  

  ถ้าเป็นอย่างงั้นแล้วอะไรคือแปรที่ทำให้ชีวิตคู่ราบรื่นหลายคนคงมีคำตอบอยู่ในใจกันอยู่แล้ว  ความซื่อสัตย์  ความเชื่อมั่น  ความเสมอต้นเสมอปลายและความรักแท้  แต่นั้นมันเป็นทฤษฎีครับ  ความซื่อสัตย์คืออะไร  ความเชื่อมั่นมันเป็นยังไง  ความเสมอต้นเสมอปลายถึงรู้แต่ปฏิบัติไม่ได้  ความรักแท้ยิ่งแล้วใหญ่แทบจะไม่มีใครเข้าใจความหมายของมันหรือไม่ก็เข้าใจผิดไป

  หลังจากผ่านวันงานมาหลายวันผมถึงจะเริ่มเข้าใจถึงความหมายของการแต่งงาน  จริงๆ แล้วความหมายของมันจะแปรผันไปตามจิตใจมนุึษย์  มนุษย์จะรู้สึกว่าพบรักแท้ต่อเมื่อเจอคนที่ดูดีกว่าคนที่ตัวเองคบอยู่และเมื่อได้คนนั้นเป็นแฟนก็จะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่รักแท้และเริ่มหาใหม่  มนุษย์จะรู้สึกถึงความซื่อสัตย์ก็ต่อเมื่อคู่รักซื่อสัตย์กับตนไม่ใช่ตนซื่อสัตย์กับคู่รัก  มนุษย์จะรู้สึกว่าตัวเองเสมอต้นเสมอปลายตลอดเวลาแต่กับคู่รักตัวเองจะเริ่มลังเลและระแวง  

  หวังว่าคงไม่มีใครสำคาญกับเรื่องที่ผมพล่ามมานะ 

ความเห็น

ถ้าเราแน่ใจว่าใช่  ก็ใช่นั่นล่ะ  มองให้เห็น  ความจริง  เช่น  ผู้หญิงที่ชอบซื้อหวย  เรารับได้มั้ย  เล่นการพนัน   กินเหล้า สูบบุหรี่  แต่งสวยตลอด   ไม่ชอบปลูกต้นไม้  ชอบไปเที่ยวสังสรรค์  ชอบเที่ยวยามราตรี   ชอบงานเลี้ยง  ไม่ชอบไปวัด  หรือว่าสิ่งที่กล่าวมาคือเรา  ถ้าสิ่งที่เขาเป็นเรารับได้  ก็โอเค  แต่ถ้ารับไม่ได้  ก็ถอย  แต่ถ้ามองไม่เห็น  อันตรายล่ะ เพราะ  ไม่มีใครไปแก้นิสัยของใครได้

แต่งเถอะอย่าคิดมาก  ถ้าคิดมากเดี๋ยวไม่ได้แต่ง  Laughing    ก็แล้วแต่มุมมองนะ  ตอนเป็นแฟนกันมันก็ต่างคนต่างเก็บสันดานของตัวเองไว้มีอะไรก็อดทน  แต่พอแต่งงานไอ้ที่เคยทนได้มันกลับทนไม่ได้  ก็จบที่การหย่าร้าง   อย่างเจ้ (ขอยกตัวอย่างตัวเอง) แต่งกับป๋ามาจะ 30 ปี มันก็มีบ้างที่เราสองคนต้องทะเลาะกัน  เพราะคนสองคนจะให้เห็นด้วยเออ ออ ห่อหมกด้วยทุกอย่างย่อมเป็นไปไม่ได้   มันอาจจะขัดแย้งกันบ้างก็ต้องเข้าใจและต้องพูดกันไม่ใช่ต่างคนต่างงอน   

บางคนก็ถึงกับออกปากว่า นรกมีจริง หลังชีวิตแต่งงาน


จริงๆแล้วถ้าเราจดจำวัตถุประสงค์ของเรา ในวันแต่งงานได้ สิ่งที่เป็น ที่อยู่ ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ปัญหาเรื่องความไม่เข้าใจกัน ความเบื่อหน่าย หรือความเจ้าชู้ จะไม่เกิดขึ้น


และโดยไม่ต้องอาศัยความอดทนมากนัก เราได้เพื่อนที่ดีที่สุดเพิ่มอีก1คน ที่จะเป็นเพื่อนแท้ต่อกันไปจนวันตาย


หากยังไม่แต่งงาน ก็ยังไม่รู้ แม้คนที่แต่งงานแล้ว เลิกลากันไป ด้วยความไม่รู้จัก ก็มากค่ะ


มาบ่นให้ฟังบ้าง เบื่อไหมคะ หายกันแล้วนะ


 

อนิจจัง

 ให้คนบางคนจะต้องมีชีวิตคู่  และไม่มีชีวิตคู่ ธรรมชาติสร้างมาแล้ว ถามว่าเราจะฝืนได้ไม่


 มันก้อยู่ที่ว่า วิบากกรรม ของแต่ละคน  ทำให้ต้องมาเป็นคู่กัน 


  จงมั่นทำบุญกันเถิด ตอนนี้ หนักจะได้เป็นเบา 

พอเพียงเพื่อเพียงพอ


jabee_68@hotmail.co.th

รสชาดอย่างหนึ่งของชีวิต ไม่เหมือนการซื้อหวยนะ แต่งแล้วก็คือชีวิตทั้งชีวิต หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องอดทนนะ พยายามหันหน้าเข้าหากัน ถ้าหากต่างคน ต่างถือทิฐิ ชีวิตการแต่งงานก็ไปไม่รอดหรอกค่ะ

Laughingทำวันนี้ให้ดีที่สุด เวลาชีวิตน้อยลงทุกวัน

ก็อย่างที่ผมบอกว่าสิ่งเหล่ามั้นมันเป็นทฤษฎีมีใครทำได้มั้งล่ะ

คุณแก้ว กุ้ก กิ้ก  เราติดค้างกันเมื่อไหร่หว่า

คนสองคน มาจากที่ ต่างสิ่งแวดล้อม ต่างสังคม การเลี้ยงดูต่างกัน มาอยู่ร่วมกันสิ่งสำคัญนั่นคือการปรับตัวเข้าหากัน แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง เพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครได้ การแต่งงานคือการที่คนสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันหนักนิดเบาหน่อยก็ต้องท่อยทีท่อยอาศัยกัน ทุกคนหวังจะอยู่ด้วยกันจนตายจากกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากจากกันด้วยการหย่าร้าง แต่ในเมื่อมันถึงที่สุดก็ต้องยอม คิดซะว่ามันไม่ใช่ของเรา เจ้าของเขามาเอาคืน แล้วจะมีความสุขค่ะ

e-mail. puangpech_@hotmail.com

 

 นักปรัชญาชาวกรีกชื่อ อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" (Social Animal) ซึ่งหมายความว่า มนุษย์จะมีชีวิตอยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่า มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันในหมู่มวลสมาชิก ซึ่งอาจเป็นชาติเดียวกัน นับถือศาสนาและพูดภาษาเดียวกัน มีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน

 

พิธีการแต่งงานเป็นกรอบของสังคมเพื่อที่จะบอกให้คนในสังคมเดียวกับเรารับรู้ว่า "ต่อไปนี้คนสองคนนี้ได้ตกลงที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว" ในสังคมไทยพุทธ ถือว่าลูกผู้ชายบวชเพื่อทดแทนพระคุณบิดามารดา ส่วนลูกผู้หญิงการแต่งงาน สินสอด ถือเป็นสิ่งทดแทนพระคุณบิดามารดาเช่นกัน

 

ส่วนเรื่องการหย่าร้าง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งผู้หญิงได้ออกมาเรียกร้องสิทธิของตนเอง เพราะทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ผู้ชายที่เป็นคนหารายได้เข้าบ้านแต่ผู้หญิงก็หารายได้เข้าบ้านได้เช่นกัน ดังนั้น คำกล่าวที่ว่าผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลังจึงเปลี่ยนไป เมื่อต่างคนต่างเรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง เมื่อไม่มีใครยอมใคร การหย่าร้างจึงเกิดขึ้น

 

เราลืมไปว่าาา ครั้งหนึ่งที่เรารักกันไม่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะพูดอะไรก็ยอมได้เสมอ เมื่อเวลาเปลี่ยนไป สิ่งที่เกิดขึ้นกับใจที่ไม่แน่นอน จึงเป็นส่วนหนึ่งที่นำมาซึ่งการหย่าร้าง

 

****ถ้าเราทำดีกับคนรักได้เหมือนกับวันแรกที่เรารักกัน การล้างลาจะไม่เกิดขึ้น***

---ป.ล. ปรัชญาในอุดมคติหนูนะคะ ยังไม่เกิดดด 555555

หน้า