Flood 1 … แม่พระคงคาปรากฎโฉม ..

หมวดหมู่ของบล็อก: 

    น้ำลดลงพอที่จะขยับขยาย ย้ายสมบัติ ลงชั้นล่างได้บ้างแล้ว คอมฯ ... ก็เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งที่ถูกย้ายลงมา .... จะได้เข้าบ้านสวนเสียที ... ว่าแล้วไม่รอช้า .... บรรเลงมันซะเลย .... ฮุ ๆ ๆ ๆ ....

    ... เช้าวันที่ 25 ตุลาคม 2554 ! .... หลังจากแต่งพระนครเสร็จสรรพ พระแม่ที่เคยยินฟังเพียงข่าว ก็โผล่มาจริง ... มีบางส่วนข้ามถนนหลัก ที่ไม่ใช่ Flood way มาได้ 

    ... ท่วมในซอยหน้าบ้านสูงขึ้นมา ประมาณเข่าแล้วรถบรรทุก 6 ล้อ ที่มีคนยืน(ยืนจริง ๆ ครับ ไม่มีคนนั่งนอกจากคนขับ)ผ่านไป – มาช้า ๆ หลายเที่ยว

 

 

 

 

   .... ก่อนมาจอดปากซอยเยื้อง ๆ กับซอยหน้าบ้าน กระบะท้าย ถูกยกขึ้น

 

 

 

 

 

    ข้าพเจ้าชะเง้อมองด้วยนิสัยสอดรู้สอดเห็น ทั้ง ๆ ที่มองไม่ถนัดนัก เนื่องจากมีมุมของบ้านปากซอยบังอยู่ แต่ก็ยังพอเห็นว่า ทุกคนบนรถ ลงมายืนบนถนน แล้วมีอีกหลายตนเดินลุยน้ำที่ระดับสูงประมาณตาตุ่มตามมาอีกกลุ่ม หลังรวมตัวกัน คนในกลุ่มจำนวนหนึ่ง แยกตัวเดินออกไป  ทราบได้จากเสียงคุยที่เคลื่อนห่างออกไป

    ข้าพเจ้าเหลียวหารองเท้า เตรียมลุยน้ำออกไปรวมกลุ่มกับเขาด้วย เพื่อจะได้ทราบว่าเขาจะทำอะไรกัน แล้วจะสามารถช่วยอะไรเขาได้บ้างตามศักยภาพที่มี  รีบดื่มกาแฟอันเป็นภัตตาหารประจำมื้อเช้า เดินไปเกาะประตูรั้วมองไปยังกลุ่มที่ชุมนุมกัน แต่ยังไม่ทันได้สวมรองเท้า เห็น 3 – 4 คน ในจำนวนผู้ที่มารวมกลุ่มตอนแรก กำลังเดินกลับ คนหนึ่งในกลุ่มนี้ซึ่งเป็นผู้หญิงหันมองมาที่บ้าน แล้วแยกตัวเดินตรงมาที่ข้าพเจ้า

    “ช่างเหอะ ... เขาคงอยากให้คนอื่นโดนเหมือน ๆ เขามั่ง มั้ง” เสียงจากคนกำลังเดินกลับคนหนึ่ง ลอยมากระทบโสตข้าพเจ้า ซึ่งตอนนั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่ทราบว่าเขาคุยกันเรื่องอะไร ส่วนตาที่ฝ้าฟางจับอยู่ที่ร่างแขกที่กำลังเดินเข้ามาหา

    ผู้หญิงที่แยกตัวมาจากกลุ่ม เดินมาหยุดหน้าข้าพเจ้าคนละฟากรั้ว พร้อมคำถาม

       “ไม่อพยพออกไปอยู่ข้างนอกเรอะ ..?”

          “ไม่ ครับ ...” ข้าพเจ้าตอบ แล้วถามกลับไปบ้าง คนละเรื่อง “นั่นเขามาทำอะไรกันครับ” แล้วต่อด้วยประโยคบอกเล่าเชิงปรารภ “ว่าจะออกไปดู ไม่รู้จะช่วยอะไรเขาได้บ้าง”

    “ไม่ต้องไปช่วยหรอกค่า ...” ดูเหมือนเป็นคำแนะนำต่อคำปรารภของข้าพเจ้าก่อน แล้วจึงตอบคำถาม “ตอนแรกว่าก็จะมาช่วยเขาเอากระสอบทรายลงกั้นน้ำไว้เหมือนกัน ... แต่บ้านไนซอยมีปัญหา ไม่ยอมให้กั้น เลยกลับดีกว่า จะได้รีบเก็บของบ้าง”

    จบคำตอบ ด้วยการหันตัวเดินกลับออกไป แต่หูข้าพเจ้าไม่วายได้ยินสียงบ่นจากปากคุณเธอ ....

    “ไม่เห็นใจคนอื่นบ้างเลย ตัวเองลำบากคนเดียวไม่พอ ลากคนอื่นให้พลอยลำบากไปด้วย ... บ้า จริง ๆ”

    ถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่า ‘อ้อออ .... เสียงที่ได้ยินข้างต้นจากพวกที่เดินกลับ เป็นเสียงวิจารณ์กรณีนี้ นั่นเอง’

     ด้วยอยากทราบข้อเท็จจริงปฐมภูมิ ด้วยตนเอง หลังจากล้างแก้วกาแฟ จึงสวมรองเท้า... ลุยน้ำออกไปยังกลุ่มคนซึ่งยังคงรีรอกันอยู่ เหมือนไม่รู้จะตัดสินใจทำอะไรต่อไป อย่างไร .... ใกล้ถึงกลุ่มคน สายตาเห็นเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ซึ่งเขานับถือ และเรียกข้าพเจ้าว่า “พ่อ” ... กำลังนำหน้า เพื่อนบ้านอีกคนที่อยู่บ้านตรงข้ามปากซอยบ้านเขา เดินเข้าบ้านเห็นหลังไว ๆ ….

 

 

 

 

   ข้าพเจ้า หยุดถามไถ่ พวกที่รวมกลุ่มอยู่ ....

 


 

 

 

    ได้ความว่าจะเอากระสอบทรายมาวางทำคันกันน้ำในบ้านของเพื่อนบ้านที่ข้าพเจ้าเห็นเดินเข้าบ้านไปเมื่อกี้นั้นแหละ แต่ไม่ได้รับอนุญาต ....

    ... ถามไถ่รู้ความ ... คนที่กำลังถูกกล่าวขวัญถึงก็เดินออกมาพอดี ... พอเห็นข้าพเจ้าเขาก็เรียกด้วยน้ำเสียงเครียด ๆ ....!

      “พ่อ ! ... มาดูอะไรแน ...” บอกแล้ว เขาหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน

    ข้าพเจ้าเดินตามไป ทันเห็นเขาเดินอ้อมไปหลังบ้าน ก็เดินตาม ... เขาไปหยุดอยู่ที่มุมบ้านริมกำแพง ... เมื่อข้าพเจ้าเดินไปทัน ...

    “พ่อดูซี ... น้ำผุดขึ้นมาตั้งหลายจุดแน่ะ” เขาบอกพร้อมชี้ไปยังจุดที่น้ำจากทุ่งหลังบ้าน ลอดกำแพง มาผุด ครับ ... ที่ปรากฎแก่สายตา น้ำดำดินมาผุด ไม่ใช่ขอมดำดินมาผุด

    “ในบ้านก็ผุดนะพ่อ” เขาพูดต่อ ขณะเดินเข้าบ้านพร้อมออกปากเรียกข้าพเจ้า “พ่อเข้ามาดูซี ... มันดันร่องกระเบื้องปูพื้นขึ้นมาเลยแหละ”

    ข้าพเจ้า ก้าวข้ามกำแพงอิฐบล็อก ที่เขาเพิ่งก่อขึ้นมาเพื่อกันน้ำ ตามเข้าไป สิ่งที่เขาบอกปรากฏแก่สายตา ...

    “แล้วจะทำไงนี่” ข้าพเจ้าถามโดยไร้เหตุผล

       “ก็ต้องปล่อยเขา ... ไง ๆ เขาก็ต้องเข้ามาอยู่ดี” เขาตอบ แล้วบอกต่อ “แต่ผมไม่ชอบพวกที่จะเอากระสอบทรายมาบล็อกน้ำเลย” เขาบอก ขณะเดินนำออกมาข้างนอกอีกหน

    “ทำไมล่ะ? ...” ข้าพเจ้าถามอีก ... ครานี้อยากทราบเหตุ จริง ๆ

        “ก็ ... ผู้หญิงที่มากะกลุ่มนั้นน่ะ เขาบอกว่า ... ผมเป็นตัวปัญหา ทำให้น้ำท่วมหมู่บ้าน” เขาตอบ แล้วเล่าต่อ “เขาจะเอากระสอบทรายเข้ามาบล็อกน้ำในบ้านผม ... ผมก็บอกเขาว่าคงแก้ปํญหาไม่ได้หรอก ดูพวกเขาไม่ค่อยพอใจ”

    เขาหยุดนิดหนึ่ง ก่อนตั้งคำถามเอาแก่ข้าพเจ้า “ถ้าเป็นพ่อ ... พ่อจะว่าไง?” ปากถาม ... ส่งสายตาคาดคั้นเอาคำตอบ

    “ให้เขาวางเหอะ ..” ข้าพเจ้าให้คำแนะนำ มากกว่าตอบ แล้วว่าต่อ “เขาจะได้เห็นว่าเราก็ให้ความร่วมมือในการแก้ปัญหา แต่ควรมีข้อแม้ไว้บ้าง จะได้ ....”

      “เช่น อะไรล่ะพ่อ” เขาถามสวน ขณะข้าพเจ้ายังไม่จบคำพูด

    “ก็เช่น แนวการวาง ... ขนาดความสูง ... และที่สำคัญ ภาระการเก็บรื้อกระสอบทรายเมื่อเข้าสู่ภาวะปกติ” ข้าพเจ้าไขข้อข้องใจ

    พูดกันมาถึงตอนนี้ ก็เห็นผู้ชาย 4 – 5 คนกำลังเดินเลี้ยวมุมบ้านเข้ามา

     “เออ ... ก็ดี .... เอาอย่างที่พ่อว่าก็แล้วกันนะ” เสียงเจ้าของบ้าน

    ไม่มีเสียงตอบจากข้าพเจ้า เพราะอนุมาณได้ว่า เขาตัดสินใจได้แล้ว พอดีกับผู้มาเยือนเดินมาถึงที่เรายืนกันอยู่ หนึ่งในกลู่มที่เดินเข้ามา ซึ่งข้าพเจ้าทราบภายหลังว่าคือ นายก อบต. เอ่ยถาม

      “เป็นไงครับ อนุญาตไหมครับ ... หากลำบากใจ ... ผมจะได้วางบนแนวถนน

        “วางในบ้านผมนี่แหละครับ ...” เสียงตอบจากเจ้าของบ้าน ก่อนบอกต่อ “เดี๋ยวผมจะทำแนวให้ แต่หากวางแล้วน้ำยังท่วมหมู่บ้านอีก ก็แสดงว่าปัญหาไม่ได้เกิดเพราะผมนะครับ ....” ประโยคหลังที่ตามมานี้คงเพราะอารมณ์ที่ยังไม่ตกตะกอน

    “ขอบคุณครับ ...” เสียงจากนายกฯ ต่อด้วย “เดี๋ยวผมจะออกใปบอกให้คณะช่วยกันยกกระสอบมา” บอกแล้วหมุนตัวเดินออก

    เจ้าของบ้านลงมือกำหนดแนววางกระสอบ .... และก่อนข้าพเจ้าจะเดินออกมา เห็นเขากำลังขุดหน่อกล้วย (ไม่ทันดูว่ากล้วยอะไร) พร้อมเสียงปรารภ

       “ให้วางแนวนี้แหละ ... ขุดเก็บไว้ก่อน .... น้ำลด ค่อยปลูกใหม่ ... นะพ่อนะ”

 

 

 

   ข้าพเจ้า ... ไม่ตอบ ... เดินพ้นบริเวณบ้านออกมา .... 


 

 

 

 

 

    สตรีผู้หนึ่งรี่เข้ามา มองหน้าข้าพเจ้า พร้อมหลุดคำพูดแสดงความไม่พอใจ

       “เห็นแก่ตัวจริง ๆ  ... เกลียดนักคนพรรค์นี้”

    ข้าพเจ้าทราบว่าเขาต้องการระบายอารมณ์ โดยอยากมีข้าพเจ้าเป็นพวก จึงคิดช่วยลดอารมณ์ และปรับทิฐิของคุณเธอให้ตรง จึงบอกไปว่า

     “ไม่หรอกครับ ... ที่จริงเขาเป็นคนมีจิตสาธารณะ เมื่อเช้ายังเห็นเขาเที่ยวเดินไปช่วยใครต่อใครยกของหนีขึ้นที่สูงอยู่เลย ... คงมีใครพูดอะไรให้เข้าใจผิดบางอย่างมากกว่า นั่นเขาก็ให้วางแล้ว”

     “ไม่ใช่หรอก ...” เธอสวนกลับมา แล้วต่อด้วยอารมณ์ “คุณเข้าไปพูดซี จึงกลับใจ ตอนแรกไม่ยอมเลย ... ไม่รู้ละ ... เสียความรู้สึกไปแล้ว”

       ‘ยาก ... ที่จะอธิบาย’ ... ข้าพเจ้าบอกตัวเอง .... แล้วเดินเลี่ยง กลับบ้าน ด้วยเห็นว่าการอยู่ต่อ นอกจากช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ก็รังจะเกะกะเขาเปล่า ๆ

    กลับถึงบ้านแล้ว ... แต่ยังได้ยินปรัศนีอยู่อึงสมอง เช่น

       .... ใคร ต่อ ใคร ที่ .... วิพากษ์ เจ้าของบ้านคนนั้นอยู่ หากบ้านหลังนั้นเป็นบ้านเขาเอง เขาจะคิด และทำอย่างไร?

     .... ตัวปัญหา จริง ๆ ของกรณีนี้ คืออะไร?

        เฮ้อ .... มึน ! ..... พักหาอะไรใส่ท้องก่อนดีกว่า ... ฮุ ๆ ๆ ๆ .....

ความเห็น

นี้แหละมนุษย์

แรงกาย+แรงใจ ลงมือทำในวันนี้ เพื่อชีวิตที่พอเพียง

น้ำลด ทุกอย่างก็จบ ไม่มีอะไรต้องคิดมากอีกแล้วค่ะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะคะ ลุง paloo

 

  :confused:    กินอิ่มแล้วสมองก็ปลอดโปร่งค่ะ...เดี๋ยวก็คิดออก...ธนนันท์คิดว่า ตัวปัญหาของเรื่องนี้ก็คือ...ความคิด...นี่แหละค่ะ..ความคิดแง่ดี ความคิดแง่ร้าย ของแต่ละคน เป็นปัญหาทั้งสิ้นค่ะ...หยุดคิด ก็หยุดปัญหาค่ะ...โอ๊ย! คิดทำไม หนักขมอง...:crying2:

กลับมาแล้วเหอะลุงเงียบไปหายวัน

น่าเห็นใจ  คนที่ต้องตกอยู่ในเหตการณ์นั้น 

มันเป็นเรี่องธรรมดาของคนครับ ทุกคนต้องเสียสละ ยกเว้นตัว... :uhuhuh:

การตัดสินคนอื่นด้วยอารมณ์  แค่นี้ก็ผิดแล้ว 

คิดให้แตกต่าง...แต่อย่าแตกแยก

เยี่ยมมากๆค่ะ คุณลุงเป็นคนที่เขียนเรื่องได้เยี่ยมจริงๆ  อ่านไปอ่านไป เหมือนตกอยู่ในห้วงนิยาย ทำให้อ่านไม่เบื่อ และชวนติดตาม ตั้งแต่ต้นจนจบ :cheer3:

 

 

 

อืม..เฮ้อ... :sweating:

ลุงจ๋า .... ล้างบ้านเรียบร้อยหรือยังคะ...


ปล. สุดท้ายก็ท่วมหมดใช่ไหมคะ ...

...2553 ปีที่ 1 ที่เริ่มเดินตามรอยพ่อ...

หน้า