ชีวิตที่พอเพียงของพ่อและแม่

หมวดหมู่ของบล็อก: 

เปิดบันทึกด้วยเรื่องที่ใกล้ตัวเราที่สุด

การใ้ช้ชีวิตอย่างพอเพียงนั้นไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อก่อนตอนเด็กๆ แทบจะไม่ได้ยินคำว่า ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีใหม่... แนวทาง... วิถีชีวิต... หรือคำอื่นใด ที่ต่างหามานิยามกันไป พอลองศึกษาในรายละเอียดแต่ละวิธีการแล้วดูเหมือนว่าทุกๆ อย่างนั่นคือสิ่งที่พ่อกับแม่ผมทำอยู่นั้นเอง และก็ไม่น่าเชื่ออีกเช่นกันว่าแค่วิธีการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายแบบนั้นจะสามารถสร้างชีวิตสองชีวิตของลูกให้ได้เิติบโตเรียนจบสูงๆ มีงานทำมีชีวิตที่ดีได้ขนาดนี้

พ่อแม่จบแค่ป.4 แต่สามารถบริหารจัดการงานที่มีในแต่วัน เงินที่หาได้แต่ละบาท ลูกที่ต้องเลี้ยงดูและสั่งสอนแต่ละคน ให้ได้ดีและประสบความสำเร็จได้โดยที่ไม่เป็นหนี้เป็นสิน ไม่รบกวนญาติพี่น้อง ไม่ทำให้คนรอบข้างต้องเดือดร้อน ท่านไม่ได้จบบริหารธุรกิจ ไม่ได้จบเกษตรศาสตร์ ไม่ได้จบการตลาด ไม่ได้จบช่างยนต์ ไม่จบวิศวฯ ไม่ได้จบแพทย์ และทุกสาขาศาสตร์วิชา แต่ไม่น่าเชื่อ พ่อแม่ผมทำได้ทุกศาสตร์เลย

ด้านเกษตรนี่ไม่ต้องพูดถึงทั้งพืช ทั้งสัตว์น้ำสัตว์บก รอบรู้วิธีการเลี้ยงดู การใช้ประโยชน์การขาย การแปรรูป เสร็จกระบวนการไม่ให้เหลือทิ้ง แม้แต่ปลาตายเน่าเสียก็ไม่ทิ้งทบทวนชีวิตในอดีตกับที่บ้านแล้ว ยังไม่เชื่อว่าพ่อแม่กับแม่ทำได้ขนาดนี้เลย

ทุกอย่างในการดำเนินชีวิตทำเองหมดเลย แม้กระทั่งอุปกรณ์ในการทำมาหากิน แห สุ่ม ไซ เครื่องจักรสานต่างๆ เครื่องยนต์ก็ซ่อมเอง จักรยานก็ปะยางเอง บ้านก็ทำเองทั้งหลังทั้งไม้สังกะสี กระเบื้อง ส้วม บ่อน้ำลึก 20 เมตรก็ขุดเอง เลี้ยงลูกก็เลี้ยงเอง ไม่ได้เอาไปฝากโรงเรียนอนุบาล สถานที่รับเลี้ยงเด็กเลย เจ็บป่วยมาก็หายาสมุนไพรกิน ยาต้มกินก็หาย ผมจำได้ว่าไปฉีดยาในตลาดแค่ไม่กี่ครั้งเอง และเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆ ตอนนั้นบาดเจ็บมาเป็นแผลก็ไปเก็บใบหญ้ามาขะยี้ปิดแผลเลือดก็หยุดไหล เอาใบยาสูบมาใส่แผลก็ฆ่าเชื้อไป(มันแสบมากๆ)

คิดย้อนกลับไปแล้วนี่เราใช้ชีวิตอยู่กับความพอเพียงมาโดยตลอด แต่เราไม่เคยใส่ใจสิ่งเหล่านั้นเลย ไม่เคยคิดถึงวิธีการดำเนินชีวิตแบบนั้นเลย พ่อแม่ไม่เคยเลยที่อยากจะมีเหมือนกับบ้านคนอื่นเขา เคยได้ยินแต่ว่า รถมอเตอร์ไซด์ขี่ไม่เป็นก็เลยไม่อยากซื้อมา รถยนต์ก็ขับไม่เป็นก็ไม่อยากได้ นาฬิกาก็ไม่อยากซื้อเพราะกลััวหาย ไฟฟ้าก็ไม่อยากได้เพราะค่ำมืดก็นอน เพราะต้องไปทำนาแต่เช้ามืด เครื่องซักผ้าก็ไม่อยากได้ เพราะไปทำงานมาก็เปื้อนทุกวัน ก็ต้องซักตอนอาบน้ำทุกวัน แล้วมันก็มีแค่สองชุด น้ำประปาก็ไม่อยากได้เพราะมีน้ำบ่ออยู่หลังบ้านถ้าหมด สระน้ำข้างบ้านก็หาบเอา น้ำิกินก็น้ำฝนใส่โอ่งพักไว้ ขนมซอง ขนมหวานตลาดอย่าหวังว่าจะได้เงินเพราะทำกินเองได้จะแบบแห้งแบบน้ำ สิ่งเหล่านี้จริงๆ แล้วก็อยากจะได้อยากจะมีเหมือนกัน แต่เพราะเงินทุกบาทที่จะจ่ายออกไปมันมีค่ามาก พ่อกับแม่จึงมีอุบายในการใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอด

ถึงวันนี้ตัวเองอายุ 33 ปีแล้ว ถ้านับเป็นค่าเฉลี่ยการมีชีวิตอยู่ได้ ก็ครึ่งทางแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองเดินทางชีวิตมาตามเส้นของสังคมนิยมตลอด นั่นอาจจะเป็นเพราะคำว่า พ่อแม่อยากให้ลูกเรียนสูงๆ เป็นเจ้าคนนายคน ไปทำงานดีๆ ได้เงินเดือนเยอะๆ จะได้สบาย ชีวิตก็เลยถูกขีดเส้นไว้ให้มุ่งไปหาหนทางที่ดีเหล่านั้น โดยที่พ่อแม่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าหนทางเหล่านั้นที่เห็นว่าดี เขามีความลำบากหรืออุปสรรคในชีวิตการเป็นเจ้าคนนายคนอย่างไร เพราะก็เห็นว่าเขาร่ำรวยสุขสบายดีไม่ลำบากเหมือนฉันที่เป็นชาวนาซึ่งนั่นอาจจะเป็นภายนอกที่เจ้าคนนายคนเขาต้องมีภาพลักษณ์ทางสังคมแบบนั้น

ผมเองก็คนหนึ่งที่เดินตามเส้นทางสู่วิถีแห่งความเจริญทางสังคมนิยม เรียนเพื่อหาความรู้ จบปริญญา ได้ทุนไปเรียนเมืองนอก กลับมามีงานดีๆ ได้เงินเดือนสามสี่หมื่นมีหน้ามีตาในสังคมพ้องเพื่อนพี่น้อง เหมือนจะดูดีไปเสียทุกอย่าง สุดท้ายก็ใช้ชีวิตแบบสังคมนิยมจมไปกับสังคม โดนกลืนไปกับความลุ่มหลง มายาสังคม

เงินเดือนสามหมื่นกับชีวิตทั้งวันตั้งแต่เช้ามืดจนค่ำมืดหักลบค่าใช้จ่ายคงที่แล้วเหลือไม่ถึงหมื่นโอ้ชีวิตเราเรียนมาครึ่งค่อนชีวิตเพื่อสิ่งนี้หรือ วันหยุดหายาก วันลาไม่ต้องพูดถึง วันป่วยอย่ามาอ้างเพราะเป็นนายคนต้องรับผิดชอบ!! เ้จ้าคนนายคนต้องทำงานเยอะกว่าเขา เพราะได้เงินเยอะกว่าเขา มีปัญหามาก็ซวยก่อนเขา

เข้าไปทำงานในบริษัททุกอย่างที่เรียนมาในการบริหารองค์กรเจอหมดเลยครับ ดีจังเรียนมาได้เอามาใช้ได้ด้วย แต่ถามว่าประสบความสำเร็จไหม ได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะบริหารคนนี้ยากแท้....ทั้งลูกน้อง ทั้งนาย วิชาการใดๆ ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ แต่ละคนหาทางสายกลางที่จะลงเอยกันได้ดีๆ นี้หายากจริงๆ 

สุดท้ายชีวิตในสังคมนั้นก็จบลงด้วยความประมาทในการใช้ชีวิต สิ่งแวดล้อม ความคิด โอกาสที่ตัวเองมองเห็นทำให้ใช้ชีวิตด้วยความประมาท โดยเฉพาะเรื่องเงินซึ่งบริหารผิดพลาด ทุกอย่างทำได้ดีมาตลอดแต่็ก็ต้องจบด้วยเรื่องนี้เพราะโอกาสที่ตัวเองมองเห็น กับเจ้าของบริษัทมองเห็นมันต่างกัน นี่ละความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ ทำให้ชีวิตต้องเปลี่ยนผันไป 

วันนี้ได้สติกลับคืนมาบ้าง เริ่มทบทวนสิ่งต่างๆ ได้เพราะตัวเองได้เป็นพ่อแล้้้ว ได้เป็นคนที่จะเลี้ยงดูคนอีกคนหนึ่งให้เติบโตมาใช้ชีวิตในสังคมให้ได้ ดูแลตัวเองให้ได้เหมือนตัวเองในขณะนี้

แนวทางตามพระราชดำริของในหลวงนั้น ก็คงจะเป็นต้นแบบที่ดีำสำหรับหลายๆ ท่าน แต่สำหรับผมแนวทางตามพ่อแม่นั้นผมยังทำไม่ได้เลย ผมคงต้องเริ่มทำจากตรงนี้ก่อน คำว่า "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" เป็นสิ่งที่อยากให้คนอื่นพูดถึงผมต่อไป

 

บันทึกนี้คงเป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่จะร่วมแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตกับทุกๆ ท่านนะครับ

 



ความเห็น

:cheer3: :cheer3:

 

 

" ...นายคนต้องรับผิดชอบ!! เ้จ้าคนนายคนต้องทำงานเยอะกว่าเขา เพราะได้เงินเยอะกว่าเขา มีปัญหามาก็ซวยก่อนเขา..."


ประโยคนี้สะกิดใจที่สุด


ผิดกับคนที่ทำงาน บอกว่า เป็นลูกน้องมันเหนื่อย ต้องเป็นหัวหน้าสิ...สบาย


หากคุณ...เป็นหัวหน้าแบบไม่รู้ว่าตัวเองต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง อะไรก็โยนมาให้ลูกน้องลูกน้องทำหมด ตัวเองก็สบาย ไม่ได้สนใจเลยว่าหัวหน้าเขามีไว้คิด มีไว้บริหารจัดการ ช่วยลูกน้องทำ ไม่ใช่มีไว้รับเงินเดือนเยอะๆ อย่างเดียว



อะไรที่ไหน อันความงาม มีอยู่ตาม หมู่ซากผี อันความดี อยู่ที่ละ สละยิ่ง ความเป็นพระ อยู่ที่เพียร บวชเรียนจริง นิพพานดิ่ง อยู่ที่ตาย ก่อนตายเอย ฯ

ลูกไม่มีวันโตสำหรับพ่อแม่ แม้ว่าเราจะอายุมากแล้ว พ่อแม่ก็ยังดูแลห่วงใยลูกๆเสมอมา วันนี้เรามีครอบครัวมีลูกเป็นของตัวเอง ส่วนพ่อแม่ของเราก็มีสถานะเป็นปู่ย่าตายาย พวกเรามอบความรักความห่วงใยลูกๆของเราแล้ว ก็อย่าลืมย้อนกลับไปดูแลพ่อแม่ของพวกเราด้วยนะ ทำให้ลูกๆเราเห็นสิ่งที่ดีดี วันข้างหน้าที่เราต้องเป็นปู่ย่าตายายเราก็จะได้รับความรักจากลูกๆหลานๆ เป็นวัฏจักรต่อไป สังคมไทยไม่ล่มสลายแน่นอน..

Cool คงจะดี ถ้า...

สวัสดีค่ะสวัสดีคุณอนุชายินดีที่ได้รู้จักค่ะอ่านละเอียดแล้วเทียบเคียงกับตัวเองนึกย้อนมองภาพอดีตที่เกิดกับตัวเองแต่วัยเด็กจนปัจจุบันเห็นตัวละครของแต่ละเวทีชีวิต อายุ 35 ปีถือเป็นช่วงเริ่มต้นนะคะแต่คุณอนุชาตั้งต้นที่33ปี มีการตรวจสอบมองย้อนหลังและเห็นทางกลับลำเชื่อมั่นว่าเมื่อท่านทั้งสองทราบเรื่องนี้ท่านย่อมดีใจมากๆที่ทราบว่าลูกไม้ของท่านกำลังผลิต้นใหม่ไม่ว่าจะไกลต้นมาก่อนหรือเปล่า.  นี้เป็นเรื่องของการเรียนรู้จากโลกสองส่วนทั้งความเป็นจริงว่าจริงๆแล้วชีวิตต้องการอะไรกับโลกของค่านิยมสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ขอเพียงมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องไม่สำคัญว่าจะล้มสักกี่ครั้งค่ะ เพราะว่าแต่ละครั้งที่พลาดล้มจะออกมาเป็นอีกหนึ่งบทที่คุณอนุชาได้เขียนลงในหน้าบันทึกของชีวิตและได้ทบทวนเพื่อจะได้เขียนบทใหม่อย่างสง่างามค่ะ

:cheer3:ดีใจด้วยนะคะที่หาตัวเองเจอ สู้ ๆ นะคะ

"ความสุขของชีวิตในวันนี้ คือทำตามวิถีพอเพียงของพ่อ"

ยังอ่านไม่จบ  เดี๋ยวมาอ่านใหม่ เวลามีน้อยมากช่วงนี้

คุณอนุชาเขียนได้ดีมาก น่าจะตรงกับชีวิตหลายๆท่านในบ้านสวนฯแห่งนี้ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ

:cheer3: ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้เสมอค่ะ..การก้าวไปสำคัญกว่าการก้าวถึง

เป็นเจ้าคนนายคนลำบากใจ ข้างบนก็มี ข้างล่างก็มี  ความรับผิดชอบต่อครอบครัวอีก


" เดินหน้าแล้ว ตอนนี้ ถอยหลังไม่ได้ ท้อได้ แต่ถอยไม่ได้ "

พ่อแม่คือฮีโร่คือแบบอย่างที่ดีที่สุดสำหรับแดงค่ะ

"เชื่อในผล แห่งการทำความดี"

หน้า