การเดินทางไกลของ..อาม่า..
มีหลายเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา ทั้งเจอเพื่อนที่บ่นว่าแก่เกินเรียนรู้ ทั้งเจอเด็กนักเรียนที่บ่นว่าเรียนยากจนไม่อยากเรียน ทั้งเรื่องราวการใช้ชีวิตต่างแดนที่คุยและสอนลูก ทั้งเรื่องที่รนณรงค์กินข้าวหมดจาน จนมาสุดที่เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ที่แช็ตกันในเฟซเมื่อเช้านี้ ทำให้อดคิดถึงเรื่องราวต่างๆของอาม่าไม่ได้ มีหลายเรื่องที่อยากเล่าสู่กันฟัง
ปีนี้อาม่าอายุย่างเข้าสู่ 92 สุขภาพโดยทั่วไปถือว่าดีกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันมาก เดินได้หลังตรง (แต่เดินได้ไม่ไกลมาก) สายตายังคงใช้ได้ดี หูเพิ่งจะเริ่มมีปัญหาบ้างแต่ยังพูดคุย สนทนาเหมือนคนปกติ ออกจะช่างคุยด้วยซ้ำ สมองยังคงจดจำอะไรได้ดี ยังไม่ยอมให้ใครทำอะไรให้เพราะอยากจะช่วยตัวเองก่อน
อาม่ารอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลหนีความยากจนข้นแค้นที่เมืองจีน โดยทางเรือเมื่อกว่าหกสิบปีที่แล้ว ในสภาพเสื่อผืนหมอนใบตามอากงที่อพยพมาก่อนหน้านี้ ชีวิตของคนทั้งสองไม่เคยผ่านการศึกษาอะไร อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แม้กระทั่งภาษาของตนเอง ก่อร่างสร้างตัวด้วยลำแข้งโดยมีอากงเป็นจับกังแบกข้าวสารและมาหาบพลูขายกว่าสามปี ส่วนอาม่ารับจ้างทั่วไป ลูกเจ็ดคนเหลือรอดเพียงสี่ ทั้งเพราะความขาดความรู้ในการเลี้ยงบวกกับความข้นแค้น เงินที่หามาได้เกือบทั้งหมดส่งกลับไปให้พ่อแม่ที่อยู่เมืองจีนเพราะสำนึกแห่งความกตัญญูที่ถูกบ่มเพาะมาแต่เด็ก ต่อเมื่อลูกคนที่สามต้องสิ้นเพราะความแร้นแค้น อาม่าจึงตัดสินใจชักชวนอากงอพยพจากตลาดพลูมาตั้งรกรากที่ตลาดบ้านแพน อยุธยา โดยเริ่มทำการค้าขายเสื้อผ้าเล็กๆน้อยๆโดยอาศัยทุนรอนจากการกู้หนี้หยิบยืม
ธรรมดาของผู้ด้อยโอกาสและขาดความรู้ ย่อมถูกเอาเปรียบตกเป็นเบี้ยล่างให้กับผู้มีฐานะอำนาจเหนือกว่า การดูถูกหมิ่นแคลนแม้กระทั่งลูกๆก็ไม่สามารถที่จะปกป้องให้ความเป็นธรรมได้ ต้องทนดูลูกๆถูกเหยียดและถูกข่มเหงทั้งจากเด็กและผู้ใหญ่ที่มีศักดิ์ที่เหนือกว่า แต่นั่นกลับเป็นพลังที่ผลักดันให้อาม่ามุ่งมั่น ขยันและอดออมเพื่อวันหนึ่งข้างหน้าจะได้ลืมตาอ้าปากกับเขาได้ ส่วนอากงนั้นเป็นเพียงผู้สนับสนุนเพราะแพ้ทั้งความเด็ดเดี่ยวความมุ่งมั่นและความกล้าได้กล้าเสียของอาม่า
อาม่าสอนพวกเราเสมอว่า คนเราหากไม่มีความรู้ไร้ความสามารถไม่มีเงินทอง ชีวิตก็เหมือนหมาข้างถนนที่มีแต่คนรังเกียจคอยแต่จะข่มเหงรังแก ฉะนั้น เบื้องต้นเมื่อความรู้เราไม่มี ความสามารถไม่เท่าไร เราก็ต้องเอาความขยันและอดออมมาก่อนรวมถึงความซื่อสัตย์ที่จะเป็นเกราะคุ้มกายให้เรา ความดีและความซื่อจะทำให้เราเจริญเพราะฟ้าดินจะช่วยเหลือ กินใช้ต้องประหยัด กินข้าวต้องไม่ให้เหลือสักเม็ด กับข้าวไม่มีคำว่าทิ้ง แต่ต้องให้อิ่มท้องจะได้มีร่างกายที่แข็งแกร่งไว้ต่อสู้ชีวิต ทำ..ทำ..เก็บ..เก็บ..ควบคู่ไปกับการใฝ่หาความรู้เพื่อยกฐานะให้คนไม่มองข้ามหยามเหยียดหรือกระทืบซ้ำให้ต่ำเตี้ยติดดิน
อาม่ากว่าจะลืมตาอ้าปากสร้างฐานะขึ้นมาพอเรียกได้ว่ามีเงินส่งเสียให้ลูกเรียนได้ ก็ล่วงเลยจนอายุห้าสิบกว่า เลยพอมีส่งเสียให้ลูกคนรองและคนเล็กอย่างผมได้ร่ำเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี คุณภาพชีวิตของครอบครัวเราเริ่มดีขึ้นก็ต่อเมื่อลูกคนเล็กอย่างผมอายุได้สิบขวบ แต่เงินเก็บบางส่วนก็ยังคงต้องส่งไปที่เมืองจีนตลอดเพื่อจุนเจือพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ฐานะด้อยกว่ามาก จวบจนผมเริ่มทำงานความเป็นปึกแผ่นของครอบครัวก็แน่นหนาจนไม่มีอะไรต้องห่วง แต่อาม่าก็ยังตอกย้ำไม่ให้ลืมอดีตบาดแผลแห่งความยากจน จนถึงทุกวันนี้อาม่าก็ยังเตือนให้เก็บหอมรอมริบเพราะชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน “ ชีวิตลื้อจะเหมือนหมาข้างถนนตัวนึง หากลื้อไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีเงินทอง” คำคำนี้มันก้องอยู่ในหัวผมตลอดมาจนถึงเดี๋ยวนี้
ผมถือว่าชีวิตนี้โชคดีมาก มีอาม่าที่คอยหล่อหลอมและดำเนินชีวิตตามแบบที่ถูกตอกย้ำ ขณะที่จิตสำนึกภายในก็คอยกระตุ้นเตือนให้ขวนขวาย ทั้งโอกาส ทั้งความรู้ ทั้งความสามารถ เรามีมากกว่าคนรุ่นก่อน จึงต้องทำให้ได้ดีกว่า ขยันหา รักษาดี มีความรู้ความสามารถ ไม่ขาดมโนสำนึก ทำไมจะทำให้เหนือกว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำไม่ได้ และเมื่อได้เติมเต็มจากคู่ชีวิตที่รากฐานครอบครัวก็ไม่ดีไปกว่ากันเท่าไร อาศัยพูดคุยเข้าใจและร่วมด้วยช่วยสร้าง สถานะของครอบครัวจึงเสมือนผนังทองแดงกำแพงเหล็ก มีความมั่นใจที่จะเลี้ยงดูส่งต่อให้กับทายาทรุ่นต่อไป
ในช่วงปลายของชีวิต ทั้งอาม่าและอากงมาอยู่กับผม ทั้งที่ใจอยากไปอยู่กับลูกชายคนโตตามธรรมเนียมจีนที่ถือปฏิบัติกันมา แต่ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งสองจึงมาอยู่กับผม อากงเป็นโรคความจำเสื่อม ตั้งแต่อายุ 65 จนมาเสียตอนอายุ 85 ยี่สิบปีที่ถูกส่งมาอยู่กับผม ส่วนอาม่าเหนื่อยกับอากงไม่อยากอยู่ด้วย แต่ก็ต้องมาเพราะปัญหาครอบครัวของพี่ชายจึงตามมาอยู่กับผมได้สิบเจ็ดปีจนถึงปัจจุบัน
อาม่าไม่ได้ทำงานมานานนับแต่ผมมีครอบครัว ทุกวันนี้ สุขสบายดี ดูงิ้ว(จากเคเบิ้ล) ดูทีวี ฟังวิทยุ หัดอ่านหนังสือทั้งไทยและจีน โดยเฉพาะภาษาไทยที่อาม่าอยากเรียนมาก ทุกวันนี้อาม่าเรียนด้วยตัวเอง ดูจากทีวี เอาหนังสือภาษาไทยอนุบาล ประถม มาศึกษาเอง ถามบ้าง ให้ผมหรือหลานสอนอ่านบ้าง อัดเทปให้แกฟังบ้าง ทุกวันนี้อ่านหัวข้อข่าวจากหนังสือพิมพ์พอได้ อ่านสลากยาพอได้ เขียนหนังสือพอได้ แต่ต้องเป็นคำๆและช้ามาก พาดหัวข้อข่าวใช้เวลาเกือบนาทีจึงอ่านจบ เคยแซวอาม่าเล่นๆว่า หากติดต่อรายการเก็บตกรับรองได้ออกอากาสแน่ แต่อาม่าไม่ยอม แกเขินอาย บอกความรู้แค่นิดนึงจะไปโชว์ใครทำไม แต่ผมว่าไม่เลย สำหรับคนจีนที่ไม่ฐานความรู้อะไร อายุอานามก็ไม่น้อย เรียนรู้เอง ค่อยเป็นค่อยไป อาศัยใฝ่ถาม (ตัวไหนอ่านไม่ได้ อาม่าจะจดตามที่เห็นแล้วเอามาถาม) จนผมอยากให้คนที่คิดว่าเรียนรู้ไม่ได้ ยาก แก่เกินเรียน มาเห็นความพยายามของอาม่า เผื่อจะได้มีแรงฮึด
สองสามปีมานี้..สุขภาพอาม่าไม่ค่อยดี ผมต้องพาตรวจเช็คร่างกาย(เจาะเลือดตรวจ)ทุกสามเดือน หาหมออายุรกรรมทุกเดือน หมอกระดูกทุกสองเดือน จริงๆปัญหาโรคคนแก่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ แทบทุกหมอที่ผมพาอาม่าไปพบ ต่างก็ชมว่าอาม่าแข็งแรงมาก สิ่งที่เสื่อมก็ตามสังขาร ไม่ต้องห่วงกังวลอะไร แต่เดี๋ยวนี้อาม่าไม่เหมือนก่อน ไม่ค่อยสู้ เจ็บนิดป่วยหน่อยก็บ่นว่าไม่อยากอยู่ ไม่รู้จะอยู่นานๆไปทำไมกับสภาพร่างกายที่เจ็บโน่นป่วยนี่..
เขียนบล็อกนี้เพราะแรงบันดาลใจระคนความแปลกใจ ที่แกยอมให้ถ่ายรูป ปกติอาม่าจะไม่ยอมให้ถ่ายรูป แกไม่ชอบ นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้ถ่ายรูปแกมากมาย (หลอกให้แกมาดูภาพตัวเองในคอมพ์ ดูไปหัวเราะสังขารตัวเองไป) อีกทั้งอาจมีเพื่อนบ้านสวนหลายคนที่อยากรู้ หลายคนมองว่าผมมีฐานะ (เมื่อเช้าเพิ่งพูดคุยเรื่องนี้กันในเฟซ เลยขอเอามาต่อที่นี่) จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ผมเป็นชนชั้นกลางที่เก็บออมสร้างฐานะด้วยความยากลำบาก สร้างรายได้จากโอกาสที่เข้ามาโดยไม่เบียดเบียนใครและอาศัยที่ไม่ค่อยเที่ยวหรือใช้ชีวิตฟู่ฟ่าหรูหรา จึงพอมีเงินเก็บกับเขาบ้าง ทุกวันนี้ก็อยู่อย่างไม่ประมาทและยังอดออมอยู่ (กลัวเป็นหมาข้างถนนเหมือนอาม่าสอน) และที่สำคัญ..ทุกวันนี้เหมือนได้ทำบุญอยู่กับบ้านทุกวัน..บุญที่อาม่าเป็นผู้ให้เราทำ หลายคนออกทำบุญไหว้พระแต่ละเลยการปฏิบัติ หลายคนไม่สนใจตอนพ่อแม่อยู่แต่กลับกราบไหว้ใหญ่โตของเซ่นไหว้เพียบตอนพ่อแม่เสียไปแล้ว..ผมดูแล้วได้แต่สังเวชใจ..ผมอาจจะไม่ใช่คนดีมากมายจนรู้สึกเขินอายทุกปลายหยดหมึกที่เขียนเล่า แต่ผมก็มั่นใจว่าผมก็พอมีสำนึกที่ทำให้ชีวิตนี้..เงยหน้าไม่อายฟ้า..ก้มหน้าไม่อายดิน..
- บล็อกของ ตั้ม
- อ่าน 11663 ครั้ง
ความเห็น
paloo
16 มิถุนายน, 2011 - 19:07
Permalink
สมบัติที่สูงค่า
ในมุงมองของลุง หลานตั้ม เป็นผู้มีลาภอันประเสริฐ นะ ที่มีสมบัติล้ำค่า อยู่คู่บ้าน เป็นตำราเล่มใหญ่ ที่อ่านได้ด้วยใจ อ่าน แล้ว นำไปปฏิบัติ ให้ถูกต้อง ... ความสุข ความเริญ ในวิถีชีวิต ไม่หนีไปไหน หรอกครับ หลานตั้ม
ตั้ม
16 มิถุนายน, 2011 - 19:13
Permalink
ลุงพะโล้..เหมือนที่เขาว่า
เหมือนที่เขาว่า มีพระประจำบ้านใช่มั๊ยครับ..ไม่ต้องไปทำบุญที่ไหน..ที่บ้านเนี่ยแหละ..และผมก็เชื่ออย่างนั้นนะ..พ่อแม่ผมไม่มีความรู้ แต่สร้างตัวได้ก็เพราะความกตัญญูและความซื่อสัตย์และไม่เบียดเบียนใคร
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
paloo
16 มิถุนายน, 2011 - 21:45
Permalink
อ่าน .. ทุกหน้า
ความรู้ที่หลานตั้มว่า น่ะ หลาน Assess ด้วยกระบวนการอย่างไร
.... ลองอ่านให้ทุกหน้า ทุกตัวอักษร เถอะหลานตั้ม ตั้่งแต่ หน้าปก จน บรรทัดสุดท้าย ... จะเห็นคุณค่าหนังสือเล่มนี้ แล้วจะเกิดมงคลอย่างสูงทีเดียว
ประไพ ทองเชิญ
16 มิถุนายน, 2011 - 19:08
Permalink
ซาบซึ้งๆๆ เฮียตั้ม กับอาม่า
อ่านทุกคำอย่างช้าๆรวดเดียวจบ น้ำตาคลอ... เพราะคิดถึงแม่ที่เพิ่งจากไปได้ ๑๐ เดือนแล้วเฮียตั้ม
น้อมรับคำสอนอาม่าไว้มองตนด้วย
แต่พี่เท่งทำงานหนักตลอดเกือบยี่สิบปี ยังไม่มีเบี้ยเก็บเลยนะเฮียตั้ม คิดว่าจะเลิกงานมวลชน มาขายข้าวแกงขนมหวานแล้วนะ
ตั้ม
16 มิถุนายน, 2011 - 19:21
Permalink
ป้าหยอย..
เรื่องบางเรื่องมันเป็นจังหวะและโอกาสของชีวิตนะ..อย่างผม..แฟนมีดวงผู้ใหญ่อุปถัมป์ ได้งานดี อยู่ฝ่ายหาเงินเข้าบริษัท ไม่เคยต้องเปลี่ยนงาน เงินเดือนขึ้นเอาขึ้นเอาทั้งความสามารถและเหมือนดวง ส่วนผมทำงาน back office เป็นงาน support ต้องเปลี่ยนงานทั้งชีวิตไม่น้อยกว่ายี่สิบบริษัทเพียงเพื่อให้เงินเดือนและตำแหน่งไม่ด้อยกว่าแฟน แต่ไม่เคยได้สัมผัสงาน marketing ที่ถนัดเลย และก็ไม่เคยได้หัวหน้าที่เก่งด้วยซ้ำ
แต่งานมวลชน เป็นงานอาสาต้องทำใจ ผมทำอยู่เกือบห้าปี ก็ไม่ไปไหนเลย ตอนหลังเลยเปลี่ยนที่ทำงานเป็นว่าเล่น มันก็เลยพุ่งแรงในช่วงนั้น
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
สร
16 มิถุนายน, 2011 - 19:33
Permalink
พี่หยอย
วันนี้ไปประชุม แวะกินข้าวแกงเมืองคอน ชื่อร้านขมิ้นคืนคอน นึกถึงพี่หยอยแปล้บ ถ้าพี่หยอยเปิดร้าน น่าจะตกแต่งแนวนี้ เสียดาย...สรไม่ได้เอากล้องไป
sorn07(แอ๊ด)gmail(ดอท)com
ประไพ ทองเชิญ
16 มิถุนายน, 2011 - 19:41
Permalink
ขอบใจ น้องสร พี่หยอยตอบให้แล้วไปแลตามที่ขอนะจ๊ะ
ใกล้จะลงตัวเรื่องร้านทำอยู่ทำกินที่บ้านแล้ว พรรคพวกจากสถาปนิคพื้นบ้านจะมาเขียนแปลนให้
ลุงพี
16 มิถุนายน, 2011 - 19:21
Permalink
รักแม่
ที่บ้านตอนเป็นเด็กเล็กๆ แม่ไม่เคยสอนให้พูดคำว่า หนูรักแม่ ผมรักพ่อ แต่สอนให้ยกมือไหว้ก่อนไปและกลับจากโรงเรียนทุกวัน (ที่บ้านอื่นไม่มีใครเค้าทำกัน) ให้ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน พอโตขึ้นมามาจึงซึมซาบเรื่องการปฏิบัติบูชา แบบสโลแกนที่ว่า "รักแม่ แค่เป็นคนดี"
อนุโมทนาบุญกับเฮียด้วยครับ ที่ได้มีโอกาสตอบแทนพระคุณท่าน
พอกิน พอใช้ พอใจ คือความหมายของ พอเพียง
ตั้ม
16 มิถุนายน, 2011 - 19:36
Permalink
คำนี้ผมก็ไม่เคยใช้
ผมก็เหมือนลุงพี..พ่อแม่ก็ไม่เคยสอนให้พูด..แล้วก็กระดากที่จะพูดเช่นกัน..ทั้งชีวิตไม่เคยพูดคำนี้เหมือนกัน..เรื่องยกมือไหว้ก็ไม่เคย..คนจีนมั๊ง..แล้วอากงอาม่าหายใจเข้าออกมีสิ่งเดียวคือ..ทำงาน..หาเงิน..ให้ลูกๆใช้..ให้ลูกๆไม่น้อยหน้าใครในสังคม..แต่รับรู้ได้แม้จะไม่ได้พูดคำนั้น..
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
สร
16 มิถุนายน, 2011 - 19:49
Permalink
คุณตั้ม
คุณตั้มเป็นลูกคนเล็ก...อาม่าอายุย่าง 92 ปี ถ้าอาม่าคลอดคุณตั้มตอนสี่สิบปี แสดงว่าคุณตั้ม คลอดมาแล้ว.......ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...แค่ฝึกคิดเลขเอง
เป็นลูกคนสุดท้องเหมือนกันค่ะ
sorn07(แอ๊ด)gmail(ดอท)com
หน้า