ความรัก..ที่ไม่ไม้รู้จะบรรยายอย่างไร

หมวดหมู่ของบล็อก: 

หลายคนอาจเคยอ่านเรื่องนี้จาก fw.mail ผมเพิ่งได้รับ อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ เลยอยากให้ได้อ่านกัน ใครเคยอ่านมาแล้วคงไม่ว่ากันนะ

 

ที่มาของภาพประกอบ : http://www.google.co.th/imgres?imgurl=http://lh6.ggpht.com/__W2KWlyzsJw/...

 

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

 
แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

 
ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

 
วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ

 
ของฉันมีกัน

 
จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

 
พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

 
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

       
'ใครขโมยเงินไป'   พ่อตวาด

 
ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

 
พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

       
'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'

 
พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

 
ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้.....แล้วพูดว่า

   
   
'ผมขโมยเองครับ'

 
ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

 
พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

 
จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

 
พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

 
และด่าว่าน้องชายของฉัน

       
' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

       
แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'

 
คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

 
หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

 
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

 
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

 
น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

   
   
' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'

 
ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

 
ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ


 
หลายปีผ่านไป

 
แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

 
ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

 
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี....

 
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

 
เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย

 
ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

 
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

 
คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

 
ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

       
' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

 
แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

 
     
'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

 
ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

       
' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

 
พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

       
'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

   
   
ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

   
   
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'

 
คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

 
ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

 
ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

 
ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

   
   
' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบาก

       
เช่นนี้ไปได้'

 
แต่ในขณะเดียวกัน

 
ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

 
ใครจะรู้ได้ .......


 
วันต่อมาในตอนเช้ามืด

 
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

 
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

 
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

 
ขณะฉันกำลังหลับ

   
   
' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

 
     
ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'

 
ฉันนั่งอยู่บนเตียง

 
อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

 
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

 
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

 
ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

 
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

 
กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

 
ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

 
วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

 
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

       
'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

 
ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

 
ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

 
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง....

 
ฉันถามเขาว่า

       
'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

 
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

       
'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

       
ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

 
ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

 
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

       
' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

   
   
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'

 
จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

 
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ เขาติดกิ๊บให้ฉัน

 
แล้วพูดว่า

   
   
'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'

 
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

 
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

 
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

 
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

 
ฉันสังเกตเห็นว่า

 
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

 
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

 
หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

       
'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

       
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'

 
แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

       
' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

       
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

       
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

       
น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

 
ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

 
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

 
ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด 'เจ็บมากไหม'

 
ฉันถาม

   
   
'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

 
     
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

 
     
แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

   
   
และ...'

 
น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

 
เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

 
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

   
   
'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'
 
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

 
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

 
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง

 
ด้วยกัน...

 
แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

 
ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

 
แต่เมื่อออกไปแล้ว

 
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

 
จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

 
น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

 
เขาบอกกับฉันว่า

         
'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่

         
ทางนี้เอง'

 
สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

 
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

 
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

 
เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

 
วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

 
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

 
เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

 
ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

 
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

 
... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

   
     
' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
 
     
   
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

     
   
ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

 
คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

 
ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

     
   
'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

         
ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

         
คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

 
น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

 
ฉันบอกกับน้องว่า

     
   
'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

         
'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

 
น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

 
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ  26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี....


 
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

 
เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

 
ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

         
' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

 
น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล

         
'พี่สาวของผมครับ' .....

 
และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

       
'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

       
เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

       
เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

       
วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

       
พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

       
และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

       
เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

       
เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

       
ผมสาบานกับตัวเอง

       
ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

       
และจะทำดีกับเธอ'

 
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

 
สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

 
คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ........

       
'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'

 
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

 
น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...




 “
จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา

 
คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

 
แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

 
.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

 
พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

 
หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม “
 
 

  จบบริบูรณ์....


ปล. ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่

บริษัท ฮุนได
และในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ   ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

'ซัมซุง'


 
และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์
โดยดาราเล็กๆ
2 คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ
บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง

ความเห็น

ซึ้งอ่ะพี่ตั้ม จันทร์เจ้าร้องให้ จะมีใครเชื่อป่ะเนี่ย อิอิ

พอเพียง และ เพียงพอ บ้านไร่จันทร์เจ้า 

ทำผมแทบร้องให้ ( หรือร้องไปแล้ว )

มีความสุข ใช่มะ ...

 

เอาอีกสิ พี่ถ้าพี่คิดว่าพี่ทำแล้วสบายใจ

 

หือๆๆๆๆๆๆๆ

มีไรจะทำให้พี่สาวมั้ย ฮึ ไป ไป ช่วยพี่ปลูกต้นไม้ที่ไร่หน่อย คิคิ

พอเพียง และ เพียงพอ บ้านไร่จันทร์เจ้า 

อย่ามัวแต่ นอนหลับฝันดีอยู่เรยยยย

ทำเองเด่ะ ก๊ากกกกกกกกกกก

ไม่เห็นเหมือนน้องชายในเรื่องเลย (วะ )เซ็ง :sweating:

พอเพียง และ เพียงพอ บ้านไร่จันทร์เจ้า 

สงสัยดูหนังเกาหลีเยอะไป 555+

ที่ไปอุดหนุน ซัมซุง มาเมื่อวาน  5555 อย่างน้อยๆก็อุดหนุนบริษัท น้องชายที่แสนดีคนนั่น

msn ครับ ยินดีรับการแอดพี่น้องบ้านสวนทุกคนครับ   trang_ch@hotmail.com

จะไปหวังอะไรมากมายกับน้องชายเช่นป้อมล่ะ ยายจันทร์ 

msn ครับ ยินดีรับการแอดพี่น้องบ้านสวนทุกคนครับ   trang_ch@hotmail.com

ป้อมเค้าช่วยเหมือนกันแหละ แต่ช่วยซ้ำน่ะ น้องชายแบบนี้ก็มีด้วย ชิ

พอเพียง และ เพียงพอ บ้านไร่จันทร์เจ้า 

ป้อมไม่คิดช่วยพี่สาวคนนี้เหรอ..อนาคต..พี่สาวเจเจอาจได้เป็นบริหารบริษัทใหญ่หรือรีสอร์ทใหญ่แถวกำแพงเพชรนะ ส่วนป้อมก็อาจเป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆที่มียอดขายปีละไม่กี่หมื่นล้านก็ได้นะ..ตอนนี้ไปช่วยไถนาก่อนไป

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

หน้า