เปลี่ยนที่อยู่ = เปลี่ยนมูลค่า

หมวดหมู่ของบล็อก: 

    ท่านก็คงมีประสบการณ์ เกี่ยวกับสินค้าชนิดเดียวกัน แต่พอเปลี่ยนสถานที่วางขาย จัดรูปแบบการนำเสนอต่อลูกค้าที่ต่างกัน เมื่อขึ้นแผงบนห้างดัง สินค้าที่วางขายแบบแบกะดิน มูลค่าเพิ่มขึ้นแทบไม่กล้าหยิบ

    บล็อกนี่ ข้าพเจ้าก็ไปไหว้วานตัวละคร ท่านเดิม ที่เคยนำเสนอในบล็อก "ยุติธรรม 3 ก" สถานที่ถ่ายทำ ก็ที่เดิม เพียงต่างวาระ ต่างสาระกันเท่านั้น

    ปรกติ เมื่อข้าพเจ้ากับคุณพี่ท่านนี้ ต้องรับภารกิจร่วม เราก็จะเดินทางพร้อมกัน พักห้องเดียวกัน (แต่ทำกิจในห้องน้ำไม่พร้อมกัน นะครับ...ฮุๆ ๆ ) สำหรับครานี้ เป็นหนึ่งในหลายครั้ง ที่เราแยกทางกันเดิน เนื่องจากพี่ท่านมีภารกิจต้องจัดการก่อน และไม่มีตารางภารกิจร่วม ข้าพเจ้าจึงเดินทางล่วงหน้าก่อนท่าน

    สองวันหลังข้าพเจ้า คุณพี่ท่านก็ไปถึงประมาณช่วงบ่าย เสร็จตารางภาคกลางวัน ท่านเดินตามข้าพเจ้าไปห้องพักด้วย เพื่อคุยกันเกี่ยวกับกิจกรรม เนื้อหา ที่ข้าพเจ้าทำไปแล้ว ท่านจะได้เชื่อมเนื้อหา และกิจกรรมได้ถูก

    ขณะคุยกัน ท่านคงเหงาปาก จึงลุกไปคว้าซองขนมขบเคี้ยว(ถั่วอบกรอบ) มาฉีกซอง เทถั่วใส่อุ้งมือ โยนเข้าปาก เคี้ยวพลาง คุยพลาง จนเข้าใจ สรุปแนวกิจกรรมต่อจากข้าพเจ้าได้ ก็ชวนกันลงหาทานอาหารมื้อเย็น ท่านลุกขยำซองขนม เอ่ยเป็นภาษาใต้

    “ไม่เห็น อร่อยสักหีด” พร้อมยัดซองเปล่าลงกระเป๋ากางเกง

       “แล้วกินไซ” ข้าพเจ้าถาม แล้วพูดต่อ “แพงเปล่า ๆ ตั้ง 40 ... ข้างนอกคาลุย ... ถูกกว่าด้วย ทุกทีไม่เห็นกิน วันนี้นึกพรือ ....”  แล้วสัพยอกต่อ ... “ห้องเองก็ไม่กิน ... กินห้องเพื่อน”

    ท่านหัวเราะในลำคอ ตามด้วยเสียงที่หลุดพ้นลำคอ “เรื่องไหร ... กินห้องนี้ ก็คิดตางค์ แคะนี้” แล้วเสียงหัวเราะก็หหลุดลงไปอยู่ในลำคออีกครั้ง

    ทานอาหารเสร็จ ... ข้าพเจ้าอยู่คุยกับเพื่อนอีกสองสามคนที่ Lobby ส่วนพี่ท่านขอตัวไปก่อน ครู่ใหญ่ ๆ ข้าพเจ้าขอตัวบ้าง เพราะจะไปเตรียมเนื้อหากิจกรรมให้สมาชิกที่เข้าอบรมปฏิบัติในภาคค่ำ จะได้ไม่เซ็ง ถึงเคาเตอร์บริการ ขอบัตรกุญแจ ได้รับคำตอบจากพนักงานว่า มีคนเอาไปแล้ว ข้าพเจ้าไม่ติดใจอะไร คิดว่าเป็นเพื่อนร่วมห้อง ถึงหน้าห้องเคาะประตู ผู้ที่มาเปิด คือท่านพี่นั่นเอง ...

    ‘ท่านคงมีเรื่องที่ยัง ไม่กระจ่าง จึงมาคอย’ ข้าพเจ้าคิด จึงเอ่ยปาก

        “พรือ ... ยังมีไหรขาด ๆ อยู่หรือ” ถามพร้อมกวาดสายตาไปทั่ว ๆ (เป็นปรกติวิสัย เมื่อเข้าห้องพักในโรงแรม) แล้วสะดุดตาที่ตะกร้าขนมขบเคี้ยว

    “แม่บ้าน เข้ามาเฮอพี่” ข้าพเจ้าตั้งคำถามใหม่ โดยยังไม่ได้คำตอบจากคำถามเดิม สงสัยด้วยปรกติ ไม่ใช่เวลาที่แม่บ้านจะเข้าไปในห้อง

    “ม้าย...” คำตอบปฏิเสธ จากปากพี่ ข้าพเจ้าอนุมานว่า คงตอบคำถามหลัง จึงตั้งคำถามใหม่

        “แล้ว ... ซองถั่ว นั้นมาแต่ไหน ตัวกินไปแล้ว ใช่เหอ”

    “เหอ ๆ ๆ ...” คราวนี้เสียงหัวเราะไม่ค้างอยู่แค่ในลำคออีกแล้ว  “พี่เอามาใส่เอง ซื้อจาก .... (เอ่ยชื่อห้างสะดวกซื้อ) 12 บาท เรื่องไหรเสีย 40 ... อีชิมแล ว่า ห่อ 40 กินแล้วเหาะได้ม้าย”

    “ขาหลบบ้าน ตัวเหาะกลับพัดลุง นะ ไม่ต้องเสียค่าเครื่อง” ข้าพเจ้าแหย่

        คำตอบที่กลับมา คือ :-

            “บ้าเปล่าแหละ”

    ท่านคงเห็น นะครับ ว่าสินค้าตัวเดียวกัน สร้างมูลค่าเพิ่มได้ เพียงแต่ว่า จะใช้วิธีใด

ความเห็น

 ผมว่าวิธีคิดแบบนี้ของโรงแรมหลายแห่ง ไม่น่าจะใช้ได้ เพราะแทยที่จะขายของได้ แต่ก็ขายไม่ได้ ถ้าเอากำไลน้อยลง เช่น ซองละ 15 บาท คงขายได้ดี ลุงว่ามั๊ย

   เขาคงขายได้อยู่ เพราะ ลูกค้าจำนวนไม่น้อย เห็นว่าเป็นเรื่องปรกติ

มันมีเครื่องหมายนะ  ซื้อมาแทน  ก็ต้องจ่ายอยู่ดี  ไม่งั้น  เขาก็..ไม่ค่อยได้ตังค์    ผู้ขาย(ดี)ฉลาด(แกมโกง)กว่าผู้ซื้อ

   ก็ไม่ทราบครับ เพราะไม่ได้จ่ายเอง โครงการเขาจ่ายให้หมด และไม่เห็นเจ้าของโครงการเขามาตามเก็บ เขาคงเกรงใจ เนาะ

 ถ้าแจ้ง สคบ. เขาอีว่าพรือน้อ อยากรู้นิ ลองแลต้าลุง  :confused: 

เคยทำวิธี  ลุง คะ  คือว่า เวลานั้น ลูกอยากกินมากห้ามไม่ได้  น้ำอัดลม  ซื้อข้างนอก ไม่เกิน 10 แต่ข้างใน บอกไว้ 40  ให้กินไปแล้วก็ไปซื้อข้างนอกมาแทน  ไม่ได้งก นะแต่ไม่อยากให้มาเอาเปรียบเรา   (หรือ งก นะ)

จริงแท้ แน่ที่สุด กาแฟสดข้างถนน สามสิบห้า ขึ้นห้างหน่อย ร้อยกว่าๆๆ ค่ะ

บวกค่าแอร์นิลุง

:desperate: