เมื่อขี้เหล้าเข้าวัด

หมวดหมู่ของบล็อก: 
Keywords: 

วันส่งท้ายปีเก่า 31 ธันวาคม 2551 ผมกับแฟนพร้อมกับเพื่อนๆรุ่นพี่รุ่นน้องเกือบสิบคน ได้ไปสังสรรค์กันที่อุทยานแห่งชาติตาดโตน จ.ชัยภูมิ หลังจากที่นั่งล้อมวงกันเรียบร้อยผมบอกกับทุกคนว่า วันนี้ผมจะกินเหล้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะเลิกกินแล้ว

ทุกคนนิ่งฟังแล้วเฉยๆเพราะไม่มีใครเชื่อ รุ่นพี่ที่สนิทสนมกันเพราะกินเหล้าด้วยกันมาเกือบยี่สิบปี ยังบอกอีกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็จะพูดยืนยันเองว่าวันพรุ่งนี้จะเลิกกิน(เป็นมุกเดิมๆของพวกขี้เหล้า) คืนนั้นเราฉลองกันเกือบตีสาม วันรุ่งขึ้นไปถวายสังฆทานกันที่วัดป่าในอำเภอภูเวียง จ.ขอนแก่น แล้วเลยไปฉลองปีใหม่ต่อที่ภูเรือ เพราะนัดลูกน้องอีกกลุ่มไว้ที่นั่น แล้วคืนนั้นทุกอย่างก็ปรากฏชัดขึ้นมา ผมนั่งอยู่ในวงเหล้ากินผักจิ้มน้ำพริกทั้งคืนโดยไม่ดื่มเหล้าซักหยด แม้จะปรากฏต่อสายตาก็ไม่มีใครเชื่อ ผมเองก็มิอาจหาสาเหตุได้ว่าเป็นเพราะอะไร ใครจะเชื่อว่าชายคนหนึ่งที่สามารถกินเหล้าหมดขวดคนเดียวภายในหกชั่วโมง นั่งกินเหล้าได้ทั้งคืนยันเช้า กินได้ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ (เว้นวันอาทิตย์หนึ่งวันให้ตับพักผ่อน) เงินที่ใช้ไปในการกินเหล้าคงเอาไปซื้อรถยนต์คันงามๆได้ซักคัน มีความรู้เรื่องเหล้าเพราะว่าเมาจนเลิกเมา ตอนหลังเลยมานั่งพิจารณาหาสาระจากเหล้า แบบว่าเมาแล้วได้ปัญญารู้ว่าเหล้าแต่ละชนิดมีถิ่นกำเนิดจากไหน ขั้นตอนการผลิตเป็นอย่างไร ถึงขั้น บินไปหัดชิมเหล้าถึงสวิสคิดดูเอาเองว่าผมบ้าขนาดไหน

แต่ตอนนี้เอาเป็นว่าลองมาอ่านดูเองว่าชายขี้เหล้าคนนี้เข้าวัดไปแล้วได้อะไร

วันคล้ายวันเกิดผมเมื่อปีพ.ศ. 2550 เริ่มมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ถึงวัยที่เพิ่มขึ้นและความเสื่อมถอยต่างๆของร่างกายที่ตามมา รึที่ในทางธรรมเค้าเรียกว่ามีมรณานุสติมากขึ้น ก็เลยตั้งใจไปปฏิบัติธรรมเพื่ออุทิศส่วนกุศลแบบปฏิบัติบูชา ให้แก่พ่อแม่ ปู่ย่าตายายและบรรดาผู้มีพระคุณทั้งหลาย ที่เคยได้ช่วยให้ความเมตตากรุณาเลี้ยงดูเรามา อีกอย่างคือเมื่อเดือนกุมภาที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเข้าเรียนหลักสูตรกรรมฐาน ที่วัดโสมนัสฯด้วยความบังเอิญ เนื่องจากความตั้งใจเดิมต้องการเพียงจะไปหาซื้อหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า พุทธสานะสุวัณณภูมิปกรณ (เขียนแบบนี้จริงๆนะครับ ผมไม่ได้พิมพ์ผิด ตกหล่น)

หลังจากจบหลักสูตรก็ได้เที่ยวตระเวณหาที่ฝึกปฏิบัติเป็นยกใหญ่ตามประสาคนร้อนวิชา พอได้โอกาสเหมาะที่วันวิสาขะบูชาในปีนั้นมาคาบเกี่ยวกับวันเกิดของเราพอดี และวัดต่างๆจัดให้มีพิธีปฏิบัติบูชาด้วยการบวชเนกขัมมะ เลยเห็นเป็นโอกาสดีคิดว่าปีนี้คงได้บุญโขนะ ได้บวชในช่วงวันเกิดตัวเอง พอดีน้องปิ๋ว(ญาติธรรมฝ่ายศาสนกิจ)โทรมาชวนให้ไปบวชที่วัดเขาตะกรุดรัง พร้อมทั้งบรรยายสรรพคุณต่างๆของวัดซะยืดยาว สรุปใจความสั้นๆว่าเป็นวัดที่สงบเงียบ เคยเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพระอริยสงฆ์หลายท่าน ก็ตกลงใจว่าเอาหละบวชที่วัดนี้เลยแล้วกัน ทีแรกก็ตั้งใจไว้ว่าจะเริ่มไปบวชตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. พอเอาเข้าจริงๆ ดันมีกิจธุระเกี่ยวกับงานที่บริษัท ก็เลยมีอันต้องตามไปบวชทีหลังคนอื่นๆในวันที่ 30 แทน

การเดินทางไปครั้งนี้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากโปรแกรม MapPointAsia ตั้งแต่การค้นหาตำแหน่งวัดและเส้นทางในการเดินทาง ทำให้ไม่เกิดการหลงทางอันเป็นเรื่องปรกติของตัวข้าพเจ้า พอไปถึงน้องปิ๋วก็พาไปกราบเรียนท่านเจ้าอาวาส เพราะเราตามมาทีหลังคนเดียว จากนั้นก็พามาฝากฝังกับบรรดาพ่อออกทั้งหลาย (โอ้โห แก่ๆกันทั้งนั้นเลย เราดูเด็กไปโข) คุณตาท่านนึงเลยให้เรารีบหาที่กางกลด (เต๊นท์ที่ไปกางใน อช. ต่างๆมานั่นหละ แต่ในวัดเค้าเรียกกันว่ากลด) อาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วไปทำวัตรเย็นเลย เอาก็เอาไหนๆมาแล้วเริ่มเลยก็ได้ รีบๆๆๆๆๆทำทุกอย่างแล้วตามไปสวดมนต์เย็น

บอกได้คำเดียวครับว่า สนุก สมาธิยังไม่เกิด แต่รู้สึกสนุกกับการสวดมนต์เหมือนร้องเพลงคาราโอเกะยังไงยังงั้น บาปรึเปล่าก็ไม่ทราบได้ เพราะเราไม่เคยสนใจเรื่องสวดมนต์มาก่อน จึงจำบทสวดต่างๆไม่ได้เลย อย่าถามเรื่องตอนเคยบวชพระนะ แค่เจ็ดวัน ยถาสัพพียังจำไม่ได้เร้ย ต้องท่องจากหนังสือคู่มือตลอดเวลา ถึงบอกว่าเหมือนร้องเพลงคาราโอเกะ แต่ก็ผ่านไปด้วยดี

ปัญหาต่อมาก็คือพรุ่งนี้เช้าต้องตื่นตีสามครึ่ง  

เราเคยนอนตอนตีสอง มานก็นอนไม่หลับ  

เลยใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง นอนสมาธิซะเลย

ปรากฏว่าได้ผล (เพราะเวลานั่งสมาธิ มันพาลจะหลับให้ได้) ตื่นมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดขาว หอบหนังสือสวดมนต์กับอาสนะส่วนตัว (ดัดแปลงจากการเอาฟองน้ำปูนอนมาตัดแบ่งสามส่วน แล้วเอาฟลายชีทสีเขียวคลุมอิกที เพราะฟองน้ำสีฟ้าใสเชียว คงไม่เข้ากะบรรยากาศ) รีบไปรวมกลุ่ม นึกว่าเราเร็วแล้วนา ไหงมาเกือบเป็นคนสุดท้ายหว่า (ตอนหลังจึงมาทราบว่า เค้าจะไปอาบน้ำกันหลังจากสวดมนต์เสร็จ)

จากนั้นก็มีการเดินจงกรม นั่งสมาธิ สวดมนต์ กลับไปทำกิจวัตรส่วนตัว (อิอิ เราทำไปก่อนแร้ววว) แล้วกลับมารวมกันเพื่อใส่บาตร โดยการไปบูชาข้าวสวยใส่ในชามกาละมังขนาดใหญ่ แล้วเมื่อใส่บาตรพระจนครบแล้วข้าวที่เหลือในจานก็เป็นของเรา (วันแรกไม่รู้ พยายามจะใส่ให้หมด ดีนะยังเหลืออยู่บ้าง พระท่านยังเมตตา) ถ้าเหลือมากไปก็ไปเทคืนได้ในหม้อ พระท่านก็ไปพิจารณาอาหารที่ญาติโยมนำมาวางรวมๆกันไว้ ท่านก็ตักใส่ลงในบาตร(พระป่าท่านถือฉันในบาตรเป็นวัตร) ต่อจากนั้นก็ถึงคิวของพ่อออกทั้งหลาย แล้วตามด้วยบรรดาชีพราห์ม พอเข้ามานั่งรวมกัน ก็ทำการสวดพิจารณาอาหาร ได้สติดีแท้ๆ มีการให้พรญาติโยมที่มาถวายอาหาร ฟังเทศน์ฟังธรรม ก่อนจะให้ไปพักผ่อนทำธุระส่วนตัวกันอิกรอบ พอว่างๆเราก็เอาละซีกลัวง่วง โน่นเลย ล้างห้องน้ำ กวาดลานวัด ที่นี่ใบไม้เยอะแต่ขยะไม่ค่อยมีเพราะคนมาเที่ยวน้อย คงเพราะไกลจากชุมชนนั่นเอง

เข้าวันที่สองซึ่งเป็นวันวิสาขะบูชา มีญาติโยมมาทำบุญกันเยอะ ส่วนมากจะมากันจากในเมือง ฉันอาหารเช้าเสร็จมีข่าวประชาสัมพันธ์ว่าที่วัดของท่านอาจารย์วีรชน(ยศทางพระ ใช้เรียกภิกษุที่เรียนปริยัติและสอบได้เปรียญธรรม6) ซึ่งเป็นวัดติดกันอยู่ที่เชิงเขานั่นเอง จะมีการทำบุญและถวายพระประธาน ท่านอาจารย์จะลงไปงานที่วัด เลยรับอาสาเป็นสารถีขับรถให้ท่าน

มีโอกาสอันดีได้ไปเห็นความเป็นวัดของคนไทยในอดีตที่พวกเราอาจหลงลืมไปแล้ว คือในสมัยก่อนวัดจะเป็นศูนย์กลางของชุมชน แม้จะมีการเปลี่ยนรูปแบบไปตามยุคตามสมัยกล่าวคือ กิจกรรมที่วัดนี้จะมีรูปแบบที่ชัดเจนขึ้น โดยการจัดตั้งเป็นชมรมต่างๆ เช่นชมรมผู้สูงอายุ ชมรมปลอดยาเสพติด (เพื่อการรักษาเยียวยา ตอนหลังได้มีโอกาสไปงานบวชน้องคนนึง สมาชิกชมรมนี้ก็นำขบวนกลองยาวมาร่วมงาน รู้สึกดีใจที่เห็นพวกเค้าทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ตอบแทนสังคม) และชมรมอื่นๆอิกมากมาย และได้ทราบมาว่าท่านเจ้าอาวาสได้รับเลือกให้เป็นพระพัฒนาดีเด่นระดับชาติ จึงมีผู้คนจากทุกสารทิศเดินทางมาดูงานที่วัดเสมอๆ

เดินดูกิจกรรมที่วัดสักครู่นึกขึ้นได้ว่าเรายังอยู่ในช่วงปฏิบัติธรรม มาอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก จิตใจเริ่มส่งออกนอก สำรวมตนลำบาก เลยไปขออนุญาติท่านอาจารย์กลับไปปฏิบัติที่วัดต่อ ตกตอนเย็นซึ่งจะมีพิธีเวียนเทียนรอบพระประธานบนลานปฏิบัติธรรม (ที่นี่อาคารปฏิบัติธรรมมีสองชั้น ชั้นบนเปิดโล่งทำให้มีพื้นที่ในการปฏิบัติธรรมได้มากกว่าชั้นล่าง และมีพระประธานขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่) หลังจากทำวัตรเย็นแล้ว ก็เริ่มมีพิธีเวียนเทียนโดยในช่วงแรก พระภิกษุและผู้มาปฏิบัติธรรมจะร่วมกันสวดอิติปิโส บูชาคุณพระรัตนตรัยระหว่างที่สาธุชนทั้งหลายเดินเวียนเทียน ต่อจากนั้นบรรดาผู้ปฏิบัติธรรมจึงได้เวียนเทียนพร้อมทั้งสวดอิติปิโสไปด้วย (ตอนหลังมีโอกาสไปเข้าพิธีฉลองโบสถ์ มีการสวดอิติปิโสร้อยแปดจบ ได้เป็นพราหมจุดเทียนมงคลในการทำน้ำพระพุทธมนต์ เป็นประสบการณ์อีกครั้งหนึ่งในชีวิต)

คืนนี้ตั้งใจว่าจะปฏิบัติธรรมยันเช้าเพราะพรุ่งนี้เป็นวันเกิดเรา เสียงคงไปเข้าหูท่านวิปัสสนูจารย์ ท่านถามว่าได้ข่าวจะมีคนปฏิบัติทั้งคืน มีใครบ้างยกมือ เรานั่งอยู่แถวหน้าก็รีบยกมือ หารู้ไม่ว่ามีเรายกมือเพียงคนเดียว ท่านก็เมตตาบอกว่าจะมาปฏิบัติเป็นเพื่อน พอเอาเข้าจริง ก็มีชีพราหมมาปฏิบัติเกือบสิบคน เลยต้องไปจัดเตรียมกาแฟ โอวัลติน มาประเคนสหธรรมิกเหล่านั้น

เช้าวันรุ่งขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นผลบุญจากเมื่อวานหรือเปล่า ท่านเจ้าอาวาสวัดที่เชิงเขาได้ขึ้นมารับบิณฑบาตที่วัด (อันนี้ก็ไม่ได้พิมพ์ตกตัว ร.เรือไปนะครับ ส่วนมากเข้าใจผิดไปนึกถึงบาตรพระ แต่ที่จริงแล้วคำว่า บิณฑบาต (อ่านว่า บินทะบาด) เป็นภาษาบาลี มาจากคำว่า ปิณฺฑ + ปาต แปลว่า การตกลงแห่งก้อนข้าว) และนำสวดมนต์พร้อมทั้งแผ่เมตตา

พอถึงช่วงแผ่เมตตาให้บิดามารดา รู้สึกปิติในใจ เข้าใจถึงคำว่าบุญสำเร็จด้วยใจ

พอท่านกล่าวว่า ปู่ย่าตายาย เสียงที่เปล่งมาเริ่มสั่นเครือ

แต่พอเจอคำว่า ปู่ชวด ย่าชวด ตาชวด ยายชวด มันเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ มีแต่น้ำตาไหลพรากแก้ม

(โห.....น้ำตาของลูกผู้ชาย ความรู้สึกคล้ายๆตอนบวช แต่รุนแรงกว่ามาก ภายหลังจึงมาทราบว่า เป็นลักษณะของอาการปิติ ซึ่งเกิดจากผลของการนั่งสมาธิ หรือผลจากบุญกุศลที่ได้กระทำไปแล้ว)

ก็จบลงไปด้วยดี ต่อจากนั้นก็มีพิธีลาสิกขา รับศีลห้าลาศีลแปด ใครมีเวลาพอหาได้ สองสามวันลองหาโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่วัดต่างๆดูบ้างนะครับ ช่วงวันสำคัญทางศาสนาเค้าจะจัดกันประจำ ที่เราไปเห็นคนแต่งชุดขาวในงานน่ะ พวกเค้าอยู่ปฏิบัติกันที่วัดเป็นวันๆเลยนะ ลองดูครับจะได้ทราบถึงแก่นของพุทธศาสนา พวกเราเจอแต่กระพี้มานาน

ต่อจากนั้นมาวัดก็เข้าเหล้าก็กิน บางทีก่อนไปปฏิบัติสิบวันก็กินเหล้ายันเช้า คงเพราะกลัวส่าเหล้าจะระเหยหมดไปในระหว่างนั้น นี่หละครับเมื่อขี้เหล้าเข้าวัด ปฐมเหตุแห่งการเลิกดื่มเหล้า ส่วนสาเหตุที่แท้จริง คงต้องติดตามตอนต่อไป ใครที่อ่านมาถึงนี่ผมขอปรบมือให้นะครับ ถ้ายังดื่มเหล้าอยู่ก็คงจะเลิกได้แล้วเพราะว่าคงจะตาลาย มึน งง กับตัวหนังสือ ขนาดหนูแก้วยังทนอ่านไม่จบ อิอิ ผมขอเวลาหาความรู้กับการเขียนบล็อกก่อนนะครับแล้วจะกลับมาแก้ไขให้อ่านง่ายขึ้น

ถ้าเรื่องเล่านี้พอจะมีประโยชน์หรือสาระใดๆอยู่บ้าง ก็ขอยกความดีทั้งหมดให้กับเจ๊โส เพราะเจ๊ขอมาครับท่าน 

ความเห็น

ขออนุโมทนาครับ 

นิดหน่อย  อ่านง่ายขึ้นเยอะเลยครับ..

เราเขียนเองเรารู้จังหวะ..ของเราครับ...

แต่คนที่อ่านข้อเขียนเรา...จะมึนนิดๆ...

เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด  ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่

คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู

ขออนุโมทนาค่ะ

"เชื่อในผล แห่งการทำความดี"

สาธุ ที่แขวนแก้วแขวนขวดเสียได้ สาธุๆๆ

เคยไปนั่งสมาธิครั้งหนึ่งทีวัดละแวกเพชรุบรี ไปกับเพื่อนชมรมพุทธสมัยเรียนปี 2 .... วัดกันดารพอควรทางเข้าไกล ไปกับเพื่อน ๆ ร่วม 10 คนชายหญิงปนกัน พระท่านพาไปนั่งสมาธิในถ้ำที่เป็นเหมือนเหวมากกว่าเพราะเราเดินลงไปลึกมาก ๆ......เวลาทุ่มกว่า ๆ แต่ช่างสงบ เย็น นั่งสมาธิหนึ่งชั่วโมงผ่านไปเร็วมาก ๆ ทำให้รู้ว่าหากบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเงียบ สงบ ก็ช่วยให้เรานั่งสมาธิง่ายขึ้นนะคะ

...2553 ปีที่ 1 ที่เริ่มเดินตามรอยพ่อ...

 ผมก็เลิกได้เหมือนกัน แต่ต่างจากลุงพี ที่ไม่ได้ไปนั่งสมาธิ ไม่ได้เข้าวัดอะไร มีความคิดว่ากินมามากแล้ว (17 ปีเต็ม) กินแล้วบางที่(อาจจะหลายทีด้วย)มีปัญหาหลายอย่าง มีดีอยู่อย่างเดียวคือเพื่อนฝูงเยอะมาก ผมคิดที่จะเลิกเหล้า ใช้เวลาไม่นาน คิดจะเลิกก็เลิกเลยเหมือนกัน(หักดิบ) โดยอาศัยฤกษ์วันที่ 5 ธันวาคม 2549 ก่อนลุงพีนิดนึง 5 ธันวา 53 นี้ก็จะครบ 4 ปีแล้วครับ

ยินดีด้วยครับพี่

ตามรอยพ่อคิด ด้วยวิถีชีวิต ที่เพียงพอ

หน้า