ย้อนรอย...ที่มา

หมวดหมู่ของบล็อก: 

นี่คือเรื่องราวความรู้สึก ที่ทำให้ผมได้ก้าวเข้ามาสู่บ้านที่งดงามและอบอุ่นหลังนี้ อาจจะไม่กี่เพลาที่สัมผัส แต่ความรู้สึกที่ชูช่อ ก่อดอก บานเปล่งเหมือนกับว่าที่นี่คือบ้านที่อยู่มาแสนนาน อุบอุ่นทุกครั้งที่ได้เข้ามาพบ มาพัก กับพี่น้องผู้มีอุ่นไอสัมผัสเดียวกัน ความเรียงนี้เป็นของเก่าที่เกิดขึ้นและบ่งบอกความรู้สึกที่จัดเจน แจ่มชัดของผมที่มีต่อที่นี่

 


ผมมักจะย้อนกลับมาอ่านทุกครั้งในยามที่รู้สึกว่า บางครั้งเราก็อาจจะทำอะไรที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำอะไรที่ผิดพลาดไป การได้ย้อนกลับไปสู่วันวานที่ผมเริ่มก้าวเข้ามา ทำให้ผมรู้ว่าทุกคนที่นี่ มีค่า มีความหมายกับผมอย่างไร เพื่อเป็นการย้ำเตือน เรียกร่องรอยสติที่อาจระเริงเหลิงหลง ให้ไหลย้อนกลับคืนสู่สามัญคติในตัว อย่างที่ควรจะเป็น และนี่ก็คือ วันนั้น วันที่แสนงดงามของผม...


วันที่ตัดสินใจแล้วว่า จะขอหอบผ้าหอบผ่อนเข้ามาอาศัยอยู่ใต้ร่มเงาชายคาแห่งนี้


ที่มาที่ไป..บ้านสวนพอเพียง....ของผม


“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””


ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มยิ่งทำให้บรรยากาศรอบๆตัวยามอาทิตย์ลับขอบฟ้าดูอีมครึมยิ่งเข้าไปอีก


ผมจอดร่างกายตัวเองไว้กับม้านั่งริมรั้วข้างกำแพงบ้านใหญ่โตหลังหนึ่ง ในขณะที่ใจกำลังว้าวุ่นอยู่ในวงเวียนความคิด พลางทอดสายตามองย้อนกลับไปยังที่มา ซึ่งตอนนี้ความมืดเริ่มทยอยจับจองพื้นที่และปกคลุม ตลอดที่นั่งฟังเสียงหายใจตัวเองทอดยาวเป็นช่วงๆ  ผมเริ่มที่จะสังเกตเห็นรถหลากยีห้อ หลากราคา ผลัดเปลี่ยนเวียนแวะกันมาจอดเป็นระยะๆจนเต็มลานจอดรถในบ้านใหญ่หลังนี้และลามล้นมาจนถึงนอกรั้ว


 มาก่อนคงจะได้จอดก่อน หรือไม่ก็รีบเพราะฝนใกล้ตก จึงไม่แปลกใจอะไรที่ผมจะเห็นรถซาเล้งคันหนึ่ง จะจอดแนบชิดติดกายกับรถยุโรปหรูๆ หรือจักรยานสีเขียวน่ารักหวานๆจะจอดเคียงคู่อยู่กับ”มอไซร์”บึกบึนคันโตหน้าเกรงขาม จนผมรู้สึกเผลอขำในความต่าง


 ประตูรั้วบ้านที่เปิดอ้าตลอดเวลา...เปิดรอรับทุกๆบุคคลที่ลงจากรถ หอบหิ้วสัมภาระต่างๆแล้วผ่านเข้าไป โดยมียามหน้าประตูทำหน้าที่อย่างจริงจังตามระบบ แต่ทุกคนก็ผ่านเข้าไปได้อย่างไม่มีอุปสรรคอะไรมากมาย


 คงจะมีงาน หรือไม่ก็เป็นแหล่งซ่องสุมอะไรสักอย่าง


“มาไหนหละพ่อหนุ่ม  ทำไมไม่เข้าไปข้างในหละ”..ผมหันไปมองยังต้นเสียง เผลอยิ้มแห้งๆแทนคำตอบ ในขณะที่เจ้าของเสียงตัวเล็กๆในเสื้อสีเหลืองกับรอยยิ้มแสนจริงใจ กำลังยกหน่อกล้วยและอะไรๆอีกมากมายใส่ท้ายรถ ที่มีป้ายบ่งบอกว่าเธอมาจากอุบล เธอหันมามองและยิ้มกับผมอีกครั้งก่อนขับรถออกไปซึ่งคงจะสวนทางกับสาวในตาคมเข้มผมยาวหยิกเจ้าของรอยยิ้มใสๆอีกคนหนึ่งซึ่งหอบข้าวหอบของ ดอกไม้นานาชนิด แต่กระนั้นเธอยังคงเว้นจังหวะหันมาทักทายผม ขณะที่เธอกำลังรีบวิ่งก้าวผ่านประตูไป


“พี่ค่ะ  ทำไมไม่เข้าไปข้างในหละ ฝนเริ่มตกแล้วนะ”


 ภาพรอยยิ้มทั้งคู่ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง ในขณะที่ท้องฟ้ากำลังเริ่มทยอยน้ำใสๆลงมาพอประปราย


 “มาไหนหละพ่อหนุ่ม” คำถามที่ผมยังไม่ทันได้ตอบ แต่ตอนนี้อาจจะต้องย้อนกลับมานั่งถามตัวเองเพื่อทบทวนอีกครั้ง เผื่อว่าจะมีคำตอบเกิดขึ้นในตะกอนคิดของตัวเองบ้าง


ใช่สิ..เรามาจากไหนหละ  แล้วจะไปไหนกันหรือ....


มองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่ผ่านมาเริ่มจะมืดมิด และเมื่อเหลียวกลับมายังอีกด้าน เส้นทางที่จะก้าวเดินต่อไปก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลยในขณะนี้ จะเลือกเดินต่อหรือกลับไป ก็ไม่ต่างอะไรไปจากตรงนี้ ขอนั่งฟังเสียงหายใจของตัวเองต่อสักพักก่อนดีกว่า...รอให้ใจกลับมาแล้วค่อยไปต่อ  ฝนเอ๋ย..รีบตกลงมาเถอะ  เผื่อบางทีความเหนื่อยหล้า ความสับสน ความทุกข์ท้อของชีวิตจะได้รับการชำระล้างเสียบ้าง ผมนึกในใจอย่างท้าทาย


“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””


ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว หากการเริ่มต้นของการเดินทางเป็นไปอย่างไม่มีจุดหมาย การเดินทางนั้น ก็แทบจะสูญเปล่า ผมเดินมานานเท่าไรแล้วไม่รู้ และจะต้องเดินทางอีกสักเท่าไรก็ไม่อาจจะล่วงรู้ได้อีก รู้เพียงแต่ว่า ถึงบ้างไม่ถึงบ้างกับเป้าหมายที่วางไว้ เหมือนมันไม่ชัดเจนพอ มันเหมือนไม่เคยเพียงพอและสุดสิ้นเลยสำหรับความมุ่งหมายที่ว่านั้น เหมือนความปรารถนาอยากนั้นจะไร้ซึ่งขีดข้อจำกัด แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ เหนื่อย เหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยที่จะต้องรีบเดินไปเพราะความกลัว  กลัวจะไม่มีเหมือนคนอื่น กลัวจะตามคนอื่นๆเขาไม่ทัน


“ว้าว....สวยจังเลยน้องแอน” ผมค่อยๆยืนแล้วหันชะเง้อเข้าไปภายในรั้วบ้าน เห็นชายลงพุงกลางคน ผิวขาว สวมหมวก กำลังหยอกเอินอยู่กับดอกไม้ที่สาวน้อยคนเมื่อตะกี้นี้เพิ่งหอบไป โดยมีคนอื่นๆภายในบ้านหันมามองและทยอยลุกขึ้นกันมาร่วมวงทักทาย ขณะที่ชายเจ้าของเสียงก็คอยหยอกเย้าสมาชิกอื่นๆให้ได้หัวเราะกันเป็นที่ครื้นเครง


 ผมเห็นหญิงสวยหน้าใสใส่เสื้อยืดสีขาวยกน้ำยกท่าออกมาต้อนรับ  เอ่ยปากทักทายสารทุกข์สุกดิบกับน้องแอนและคนอื่นๆอย่างเป็นกันเอง ฟังน้ำเสียงสำเนียงแล้วคาดคิดว่าน่าจะเป็นคนทางภาคกลางแถวๆสุพรรณ โดยมีสาวไม่น้อยน่ารักท่าทางเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน จูงน้องหมาตัวน้อยขนาดเลยสะเอวมาร่วมสมทบ เสียง กุ๊กๆกิ๊กๆแจ๋วแห๋วว ชมคนโน้นที คนนี้ทีด้วยแววตาอันเยิ้มฉ่ำ


เสียงพูดคุยอย่างออกรส สลับกับเสียงหัวเราะกันไปมาเป็นครั้งคราว ทำให้ผมอดชื่นชมเสียไม่ได้ ใครจะไปรู้  เห็นท่าทางของแต่ละคนแล้ว   คงจะต่างที่มา ต่างที่ไป ต่างฐานะ แต่ความรู้สึกที่ผมเห็นเหมือนกับว่าทุกคนจะคือหนึ่งเดียว เป็นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน


.................................................................


ผ่านแสงไฟที่เปิดอยู่ผมเริ่มเน้นและกวาดสายตาไปยังส่วนต่างๆของบ้านที่แบ่งวางสาระ ข้อคิด ตลอดจนปราชญ์ผู้รู้แจ้งในแต่ละสายงานแต่ละด้านมาช่วยชี้แนะ แบ่งปันสารประโยชน์  โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมฟังอยู่มากพอควร จึงพอจะรับรู้ว่าที่นี่ คือที่ใด


“บ้านสวนพอเพียง”ผมเอ่ยในใจ ป้ายตัวโตวางเด่นอยู่ลานสวน  โดยมีปรัชญาคำขวัญเป็นข้อคิดสำหรับทุกคนก่อนที่จะเดินผ่านเข้าไปภายในบ้านว่า แบ่งปัน สร้างสรรค์ พอเพียง 


“คุ้นๆนะคำๆนี้ พอเพียง


“หัวใจพอเพียง” แค่นี้จริงๆหรือที่ทำให้ครอบครัวนี้ดูน่ารักและอบอุ่น ผมไม่อยากจะเชื่อ..


อันที่จริงแล้วคำว่า”พอเพียง”นี้ผมก็เคยอ่านเคยพบในบทความต่างๆแต่มันจะนำมาปฏิบัติได้จริงหรือ  มันไม่น่าจะเข้ากันได้เลยกับโลกในยุคปัจจุบัน  ผมคิดอย่างนั้นแล้วผมก็เลยละวางและไม่เคยแวะเวียนนำมาใส่ใจอีก  เพราะผมคิดเสมอว่าโลกนี้มีความต่าง  ที่นี่ก็คงเหมือนกัน ทุกคนที่เข้ามาและออกไปจากที่นี่  ก็ล้วนแล้วแต่มีแตกต่าง ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของซาเล็งจะอิจฉาเจ้าของรถยุโรปคนหรูนั้นไหมนะ หรือคนแต่งตัวดีคนนั้นจะอวดภูมิข่มเด็กกะโปโลคนนั้นหรือเปล่า ผมพยายามมองเฝ้าสังเกต เพื่อบททดสอบบรรทัดฐานความคิดเดิมของผม


...แต่ไม่..ทำไมร่องรอยความต่างนั้นมันถึงได้เลือนหายและแนบแน่นสนิทจนไม่อาจมองเห็นนะ แววตา ความคิด ของแต่ละคนล้วนแล้วแต่แสดงออกมาอย่างจริงใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัย แนะนำ แบ่งปัน ซุ่มเสียงหัวเราะเปล่งประกายใสเหมือนทุกคนจะไม่มีใครหลงเหลือความทุกข์ท้ออยู่เลยหรือแม้หากจะมีบ้าง  แต่จะมีใครสักคนไหมนะที่เป็นเหมือนผมในตอนนี้


อะไรกันนะที่เป็นตัวเชื่อมพวกเขาเหล่านั้น ความพอเพียงแค่นั้นจริงๆหรือ  ความมืดที่ปกคลุมกายยังไม่เท่าความมืดมนที่เริ่มปกคลุมความคิดอันสับสนของตัวเองในขณะนี้ หรือว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมกำลังเดินทางผิด เฝ้ามองความงอกงามของความมั่งคั่งที่พอกพูนขึ้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อให้มี เพื่อให้เทียมเท่าแล้วต่อมาก็เพื่อให้มากกว่าคนอื่นๆ  อยากมี  อยากเป็น  อยากอีกสารพัดอยาก อย่างนั้นหรือ


 “ทำไมไม่เข้าไปข้างในหละ” เสียงประโยคคำถาม ท่อนสุดท้ายที่พอจำได้ทำให้ผมรู้สึกตื่นจากภวังค์คิดอีกครั้ง


ใช่..ทำไมไม่เข้าไปหละ เราจะปล่อยให้ความมืดมนและเม็ดฝนนี้เกาะกุมตัวเองจนเปียกชุ่มเหน็บหนาวตลอดไปอย่างนั้นหรือ ทำไมเราไม่เดินไปยังที่ๆมีแสงสว่างอยู่เบื้องหน้า ในเมื่อเราก็อยากรู้ อยากสัมผัสชัดๆ บางทีเราอาจจะได้เรียนรู้ว่าอะไรคือตัวเชื่อมของความสัมพันธ์ที่แท้จริงเหล่านั้น บางทีเราอาจจะได้แง่คิด แง่มุมดีๆกลับมาปรับใช้กับชีวิต ลองมาเริ่มเรียนรู้อย่างจริงจังและเปิดกว้างอย่างคนที่พร้อมจะเข้าใจ


 ในขณะที่เส้นทางเดินทอดเดินกำลังมืดมน ผมอาจได้สัมผัสแสงสว่างแห่งการรู้จักตัวเองและนำพาเส้นทางเดินชีวิตของผม ไปในทิศทางที่ถูกต้องมั่นคงก็ได้.....ใครจะรู้


สายฝนทยอยทิ้งเม็ดหนักๆเหมือนเป็นการเร่งรัดให้ผมต้องเร่งรีบในการตัดสินใจหรือบ่งบอกว่าเห็นด้วยที่ผมจะตัดสินใจอย่างนั้น ผมเหมอหน้าขึ้นมองฟ้า ก่อนที่จะวิ่งเข้ามายังประตูบ้าน ตะโกนดังๆแข่งกับเสียงของสายฝน


 สวัสดีครับ...ผมสมาชิกใหม่ขอรายงานตัวครับ.....


 

ความเห็น

ผมกะจดๆ จ้องๆ เป็นปีล่ะคับ กว่าจะได้เข้ามา

ไม่น่า หลวมตัว เลยยยยยยยยยย อิอิ

 

เข้ามาแล้ว ออกไม่ได้คับ บ้านหลังนี้ ...

กว่าจะได้เข้ามา...แล้วถ้าเป็นสาวๆหละพี่ป้อม..


นวลน้องอรชร...ต้องรออีกนานแค่ไหนเนี้ย...ฮาาาาา


 แต่เอาเถอะ...บางทีเรื่องนี้อาจจะเร็วกว่าผมก็ได้ใช่ไหมครับ....


แต่อย่าเร็วทุกเรื่องนะพี่ป้อม...กับสาวๆ....ฮาาาาาอีกดอกหัวเช้า..


 

เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด  ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่

คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู

แต่ว่าแฝงไปด้วยเรื่องจริงทุกประการเลย ขอบคุณพี่มานี มานะ วีระ ชูใจ ที่มาเล่าเรื่องอันน่าประทับใจนี้นะคะSmile

สุดมือสอย ก็ปล่อยมันไป^^ ธรรมะ จากท่าน ว.วชิรเมธี

เอามานำเหนอใหม่...เขียนไว้เรื่องนึงต่อจากนี้..


กะว่าจะเอาเรื่องนี้มาปูพื้นก่อนเพื่อความต่อเนื่อง...


แต่ต้องรอ..อีกระยะก่อน...ขอตกตะกอนแพลบนึงคร้าาาา...


อีกอย่างตอนนี้...อยากอ่านของคนอื่นๆบ้างครับ

เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด  ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่

คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู

ยินดีต้อนรับสมาชิกเก่า......


กับบ้านสวนหลังใหม่......ของคนเก่า


และอีกหนึ่งความเก่าที่ดี ดี....


นั่น...คือมิตรภาพที่ดีของเราชาวบ้านสวนไม่เก่าเลย


มาใหม่ก็อย่าลืมทิ้งความคิดเก่า เก่า ลงบ้างนะคะ


ด้วยความยินดีจากสมาชิกเก่าพอประมาณ.....

 

คนเก่า..คนใหม่...


พี่จะพยายามทำให้ตัวเองดูใหม่อยู่เสมอ...นะ


เพื่อ...ไม่ให้น้องน้ำหวานเบื่อ...ฮาาาา

เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด  ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่

คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู

เรียบเรียงถ้อยคำอย่างตั้งใจ...ขอบคุณค่ะ ได้ทราบเบื้องหลัง ว่าเป็นเพราะฝนตกนี่เอง 5+++ ถึงหลบฝนเข้าบ้าน

#แตกต่าง.แต่.ไม่แตกแยก#

โชคดีที่ผมเป็นผู้ชาย...ทำให้ไม่มีความยุ่งยากที่จะมองถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง


เพราะอย่างไร...ก็มีความเท่าเทียมเหมอเหมือนทางกายภาพ


แต่สำหรับ...สาวๆอาจจะกังวลนิดนึง..ฮาาาา


วันนี้มีน้ำชาไหมครับ.....พี่อี๊ด

เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด  ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่

คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู

ไม่ใช่เพราะใจที่เป็นประธาน..สงสัยพาเดินเข้าไปเท่านั้น..วันนั้น..วันแรกที่มามะมานี่..ก้าวเท้าเข้ามา..มีพี่น้องหลายส่วนในองคาพยพร่วมเรียกร้องให้พาเข้า..เริ่มจากสมอง..ประมวลผลวิเคราห์ว่าที่นี่เหมาะเหม็ง..สั่งการให้พี่น้องแปรบทวิเคราะห์เป็นการสังเคราะห์..ตา..สะดุดกะสาวสวยน้อยใหญ่แห่งบ้านสวน..หู..ได้ยินเสียงหวานแหววเรียกขานเจ๊าะแจ๊ะ..ท้อง..คำรามลั่นหิวแล้วรีบหาที่ลง..ปาก..อยากได้อะไรมาสัมผัสลิ้นทั้งรสชาดและการพูดคุย..มือแขน..อยากจับต้องร่วมด้วยช่วยทำในกิจกรรมของสวน...ขา..ไม่ทนฟังเสียงใครจ้ำอ้าวพาพี่น้องไปแบบไม่ต้องสั่ง..แล้วสุดท้ายก็มาลงที่..เมื่อทุกอย่างสิ้นสุด..ก็มาลงที่...ให้ช่วยระบายออกมาเป็นส่วนสุดท้ายทุกที...นี่แหละที่มาที่ไปของชายหนุ่มนาม..มามะมานี่..(อิ..อิ..พี่ตั้มรู้ลึกมากกว่าใคร..ชิมิ..ชิมิ..)

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

คิดแล้วคิดอีกกว่าจะเข้ามาตั้งหลายรอบ...


มากับรอยยิ้มของป้าเล็ก...ยิ้มละลายใจ


มากับดอกไม้น้องแอน...ดอกไม้แห่งดอกไม้


มากับคารมพี่ตั้ม...ขุนเลือดส่าแห่งอโยธยาบ่อดิน


มากับจันทร์เจ้า..ถาดรินน้ำใจ


มากับคุณแก้ว..แว่ววลีประกายฝัน


มากับแอลเอฟ...กกก้อยมือนาง


มากับพี่แจ๋ว....นายท้ายภาระ(รัก)เรือ


มากกับบักป้อม...เสือถ้ำเปลี่ยวกาย


และอืกมากมายฉายา...ฝากพี่ตั้มไป(ทำสังพิวิ)ที


 สรุป..มาเพราะตาลายด้วยความหิว...


เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด  ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่

คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู

หน้า