คนปาบ...!
ก่อนอื่นใด...ต้องขออภัย เนื่องด้วยเจ้าเครื่องที่บ้าน ค่อนข้างมีปัญหากับการใช้เว๊บ .... จึงเข้าบ้านออกจะยาก คำถามบางเรื่อง จึงบอกเล่า สมช. ไม่ได้ แต่จะพยายามเข้ามายืนยันว่ ยังมีลมหายใจอยู่ครับ
“บาปมีจริงเรอะ? ... เอามาให้ดูซักตัวซิ”..... เคยมีคนถาม คนท้า ข้าพเจ้าด้วยคำถามนี้ ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้ตอบ และก็ไม่คิดจะไปเสาะหาตัวบาปมาให้เขาดู..... แล้วอยู่มาวันหนึ่ง
จำได้ว่า เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ จำไม่ได้ว่าเดือนอะไร ยิ่งวันทางสุริยคติ ตั้งแต่ออกจากงานประจำ แทบไม่รู้เอาเสียเลย ที่ว่าแทบไม่รู้เพราะจะรู้เอาก็เมื่อวัน เสาร์ หรืออาทิตย์ เนื่องจากเด็กๆ หลานๆ เขาหยุดไปโรงเรียนกัน .... ป้า จัดปิ่นโตให้ข้าพเจ้านำไปทำบุญที่วัดใกล้บ้าน
เดินออกจากบ้าน ... ตอนเช้าๆ อยากออกกำลังกาย และวัดก็ไม่ไกล เดินพลางควักเครื่องโทรศัพท์ โทรบอกเพื่อนให้เจอกันที่ร้านกาแฟ ที่ประตูในลานวัด (สถานที่สำหรับไว้พูดเรื่องชาวบ้าน)
ใกล้ถึงสามแยกที่เป็นทางโค้ง สวนทางกับ “บุญ” ..(นามสมมติ เพราะไม่ได้ขออนุญาตพาดพิง) ซึ่งปกติบ้าน(ไม่ทาบจะเรียกว่าบ้านได้รึเปล่า) อยู่ซอยติดกับหลังบ้าน(เทียบกับบ้านของบุญ เรียกว่าบ้านได้แน่) ข้าพเจ้า เขามีอาชีพปั่นสามล้อรับจ้าง และรับทำให้ทุกเรื่อง ที่มีคนจ้าง ดายหญ้า ตัดโค่นต้นไม้ ปีนหลังคาเปลี่ยนกระเบื้อง ช่วงไหน ฝนหนักน้ำเจิ่งทุ่ง เขาหยุดปั่นสามล้อ แล้วจะหิ้วข่ายไปดักปลาให้ภรรยาเดินขายตามบ้าน ... ฯลฯ
นึกแปลกใจ ว่าทำไมเขาจึงเข้ามาทางปากซอย แทนที่จะเดินออกไปทางท้ายซอย ซึ่งใกล้ลำคลองมากกว่า
“มาจากไหน?...” ข้าพเจ้าถามโดยไม่ต้องคิดอะไร(คำสนทนาทั้งหมดต่อไปนี้เป็นภาษาถิ่น ไทยภาคใต้ แต่ข้าพเจ้า ขอแปลความเพื่อเข้าใจทั่วกัน)
“ซื้อยาสูบ” เขาตอบสั้นๆ
“ไปตกเบ็ดเหรอ” (หมายถึงตกปลา) ข้าพเจ้าถามต่อ แบบโง่ๆ ทั้งๆ ที่เห็นคันเบ็ดในมือของเขา จะๆ“ไม่รู้เรอะ วันนี้ วันพระ 15 ค่ำ” ข้าพเจ้าตั้งคำถามต่อ โดยที่เขายังไม่ทันได้ตอบคำถามแรก
“รู้...” เขาตอบคำถามที่สอง โดยไม่สนใจคำถามแรก แล้วบอกต่อ (จะเป็นการอธิบายเหตุผล หรือแก้ตัวก็ไม่ทราบ) เหมือนจะรู้ว่าไม่งั้น ข้าพเจ้าคงตั้งคำถามว่าทำไม? เอากับเขาอีก .. “ที่บ้านไม่มีอะไรกิน จะให้ลูกกินข้าวเปล่า ก็สงสารมัน” เขาหยุดนิดหนึ่งเหมือนคิดหาคำพูด... “ไม่ติดกับลูก ...ว่าจะไปวัดเหมือนกัน....ไม่ได้ไปดูอาจารย์ (หมายถึงเจ้าอาวาส) หลายวันแล้ว”
“เออ... ไปตกที่ไหนนี่..” ข้าพเจ้าถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ แล้วบอกต่อโดยเขาไม่ได้ถาม “นี่..ถ้าไม่ติดวันพระ ... ก็ไปตก(ตกปลา) ด้วยคนหรอก”
“ไปนะ” เขาตัดบทไม่ตอบคำถามข้าพเจ้า “ลูกรออยู่” แล้วออกเดิน ....... “เอาบุญมาฝากมั่งนะ” เสียงสั่งโดยไม่หันมามอง
“เออ” ข้าพเจ้ารับปาก โดยไม่ต้องหันไปมองเช่นกัน
ข้าพเจ้าเดินหิ้วปิ่นโต มุ่งหน้าไปวัด ใจประหวัด เห็นภาพตัวเองไปนั่งตกปลาอยู่กับ บุญ (ไปถึงก่อนบุญซะอีก สถานที่ตกปลา ก็ชัดเจนในสัญญา) แล้ว ตั้งขอสงสัยเอากับ บุญ ว่า เขาจะคิดอย่างไรนะ ที่ไม่ได้มาวัด
สะดุ้งคิด .... “เห้ย ... เรา กับ บุญ .... ใคร ....คือคนบาป ... วะ”
- บล็อกของ paloo
- อ่าน 2314 ครั้ง
ความเห็น
Tui
27 ธันวาคม, 2010 - 09:02
Permalink
อ่าน แล้วมี ความรู้สึกผสม
อ่าน แล้วมี ความรู้สึกผสม ระหว่าง บุญ กับ บาป ส่วนตัวแล้ว เชื่อ เรื่อง บาป ทำอย่างไรไว้ก็ จะ ได้ อย่างนั้น แต่ผม ยังไม่ลงลึกไปมาก ขอแค่วันนี้ไม่ทำอะไรให้เดือดร้อนใคร ส่วนเรื่อง เบียดเบียนชีวิต สัตว์มาเป็นอาหาร ถ้ามีเหตุให้ทำ เช่นเป็นอาหารก็ ทำ ณวันนี้ ยังสับสนกับคำสอน ของ ที่บ้าน เรื่อง แค่คิดก็บาปแล้ว ยังไม่ทราบแน่ว่าแค่คิดจะบาป ได้ยังไง ผมรู้ แค่ว่า คิดไม่ดี ผิดที่ผิดเวลา เราก็ ไม่สบายใจตัวเราเอง ดังนั้นผมพยายาม คิดแต่สืิ่งดีๆ ครับ ยัไม่รู้แน่ ว่าที่ผมว่าคิดดีแบบของผม จะเป็นบุญ หรือ บาป
สายพิน
27 ธันวาคม, 2010 - 09:40
Permalink
บาปหรือบุญ
ขอขอบคุณคุณปาลู ที่หยิบประเด็นนี้ชึ้นมา เห็นว่ามีความสำคัญมาก เพราะว่าทุกวันนี้เข้าใกล้กลียุคเสียเหลือเกิน การที่คนเรามีโอกาสฟังสิ่งดีๆทำให้ลดละ ความอยากมี อยากได้ อยากเป็นแบบไม่เฉโก คือไม่เอาเหตุผลมาอ้างเพื่อเข้าข้างตัวเอง อันนี้ท่านว่าเป็นสัญชาติแห่งคนตรง ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ได้เรียนรู้จากท่านผู้รู้สอนว่าเบื้องต้นว่าต้องมี สัมมาทิษฐิก่อน โดยเฉพาะรู้จักมีสัมมาทิษฐิสิบด้วย มีจรณะสิบห้า(ตามคำสวดมนต์ท่านว่า วิชชา จรณะ สัมปันโน การเข้าถึงวิชชาและปฏิบัติจรณะสิบห้า)เป็นสิ่งปฏิบัติให้เกิดปัญญาที่ไม่ใช่ปัญญาเฉโก โดยหลักปฏิบัติที่จะทำให้เรามีปัญญามากขึ้นได้แก่ ยึดมั่นในสังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ อะไรที่เป็นการผิดศีลและไม่ทำก็เป็นสิ่งที่นำพาเราให้เกิดปัญญามากขึ้นเรื่อยๆ(แทนที่จะเฉโกตามความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ซึ่งสามอย่างนี้เวลาเกิดเป็นอาการที่เราจับต้องหรือรู้สึกได้นี่เป็นสิ่งที่ท่านให้ความเข้าใจว่าเป็นตัณหา และหากมีวิธีการทำให้ตัณหาอ่อนแรงลงได้ ก็เท่ากับเราได้ปฏิบัติธรรม ) ทั้งหมดที่คุยแลกเปลี่ยนนี้ เป็นเพียงตัวรู้ เข้าใจ แต่ว่าเวลาเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ยากจริงๆ แต่ยากก็ต้องทำ ทำไปเรื่อยๆ ชำนาญขึ้นน่าจะเป็นเรื่องง่ายขึ้นนะคะ คุณปาลู ...ต้องขออภัยนำเรื่องนี้มาแลกเปลี่ยนค่อนข้างยาว แต่เรียนว่าเป็นการจดจำมาบอกเล่า เหมือนเด็กถือถาดขนมมาเร่ขาย แต่ว่าจะได้ลิ้มรสชาติของขนมอร่อยหรือไม่ เป็นที่ตัวเด็กคนนั้นจะหยิบเข้าปากกินหรือเปล่าน่ะค่ะ ขอขอบคุณอีกครั้งนะคะ กับบล็อกดีๆที่คุณปาลูหมั่นนำเสนอให้ได้อ่าน ถึงจะไม่ได้คอมเมนท์ในบล็อกที่ได้อ่านนะคะ
แดง อุบล
27 ธันวาคม, 2010 - 11:00
Permalink
ลุงพาโล
:admire: ต่างคนต่างความคิดค่ะ
"เชื่อในผล แห่งการทำความดี"