ธรรมมาตา

หมวดหมู่ของบล็อก: 

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ เวลาว่าง ๆ จากความคิดเรื่องอื่น ๆ ในหัวก็จะมีอยู่เรื่องหนึ่งที่จะวนเข้ามาตลอด คือการพยายามสร้างเป็นภาพร่างความเข้าใจส่วนตัว หรือจะเรียกว่าสังเคราะห์จะได้หรือเปล่า เกี่ยวกับเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับ สุข ทุกข์ ดี ชั่ว กิเลส โลกธรรม ฯลฯ มากมาย และอีกมากมาย ว่าโดยความจริงแล้ว เราจะเข้าใจได้อย่างไรและในหลังคำแทนนั้น ๆ อันที่จริงมันคืออะไร เพราะรู้สึกว่า สิ่งต่าง ๆ ที่แทนด้วยคำบัญญัตินั้นมันยังไม่ใช่ตัวตนของสิ่งที่กำหนดขึ้นมาจริง ๆ เราไม่ได้มองเห็นอย่างคำอธิบายนั้น ๆ  เรายังไม่เห็นภาพคล้อยตามนั้น แล้วก็ได้ใช้เวลากับกระบวนการภายในหัวเรื่อยมา เรื่อยมา จนกระทั่งมันมาลงกับคำว่า สัญชาติญาณ อันเป็นระบบพื้นฐานทั้งหมดของสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างของสัตว์ที่ไม่ได้เกิดจากกระบวนการของปัญญาที่หลุดพ้นจากสัญชาติญาณ แล้วเรื่อยมาถึง ธรรมดา.....ธรรมดาของทุกสิ่ง......


อืม.....ดูเราจะไม่เข้าใจสิ่งที่เราอ่านและศึกษาอยู่จริง ๆหล่ะ.....Innocent


นี่ก็คือที่มาของคำหัวข้อ ธรรมมาตา 


ตื่นมานึกถึงคำนี้ ก็ไป Google แล้วก็ได้บทความดี ๆ มาฝากกัน


ระหว่างนี้ที่ยังโพสต์รูปไม่ได้ขอคั่นด้วยบันทึกตัวหนังสือล้วน ๆ ไปก่อนพลาง ๆ จนกว่าจะสามารถครับ


----------------------------


“จงทำงานด้วยความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา” ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จงทำอย่างรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ จงปฏิบัติธรรมในท่ามกลางความวุ่นวายในบ้านหรือในที่ทำงาน และจงอย่าแยกการปฏิบัติธรรมออกจากชีวิตประจำวัน


“เพศหญิงสอนเพศหญิงด้วยกันได้ดีกว่า สะดวกกว่า ผลแนบเนียนกว่า”


สตรีก็เป็นบัณฑิตได้เช่นเดียวกับบุรุษ ในที่เดียวกันนั้น ถ้าผู้หญิงคนใดขัดเกลาจิตใจ และพัฒนาชีวิตของตนให้เข้าสู่ความเป็นผู้มีสติปัญญาเพิ่มพูนขึ้น สว่างกระจ่างแจ้งมากขึ้นได้ ศักยภาพของหญิงนั้นก็จะไม่ด้อยไปกว่าชายเลย”


------------------------------


 คัดจากส่วนหนึ่งของบทความมาฝากให้อ่านกัน อ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์นี้ครับ


http://www.onopen.com/2006/01/1161


 

ความเห็น

สุขหรือทุกข์..สัมผัสได้ด้วยจิตของคนคนนั้น..สุขของคนคนหนึ่งอาจเป็นทุกข์ของคนอีกคนหนึ่ง..กลับกัน..ทุกข์ของคนคนหนึ่งอาจเป็นสุขของอีกคนหนึ่งเช่นกัน..แต่จะสุขหรือทุกข์ของแต่ละคน..จะไม่มีผลอันใด..หากสุขหรือทุกข์นั้นไม่ก้าวข้ามมากระทบบุคคลภายนอก..ปัญหาของมนุษย์เราคือ..สุขหรือทุกข์..มักจะมีสัญชาติญาณเป็นตัวสะท้อนปฏิกริยา..หากไร้การควบคุมโดยปัญญา..ปัญหาก็จะเกิด..ปัญญาจะเกิดได้สติต้องมาก่อน..

แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย

คุณตั้มลึกมากครับ ต้องขอก๊อปไว้สะสมแล้ว


ผมเกิดมีมุมมองเรื่องสุข ไม่สุข การใช้ชีวิตคล้าย ๆกับคุณตั้ม ซึ่งอันที่จริง ไม่ทราบว่าจะถึงสิ่งที่คุณตั้มสื่อมาหรือไม่


คือว่า สุข ไม่สุข เป็นแค่ผลของกระบวนการที่เกิดขึ้นของการทำงานภายในร่างกายเรา ประมาณว่า คล้าย ๆ กับคนเอายาเฮโรอีนมาฉีดใส่เรา เราก็มีความสุข เป็นต้น สุข ไม่สุข มันไม่ใช่ตัวเราทำ เป็นแค่กระบวนการที่อาจเรียกว่าส่วนหนึ่งของระบบของร่างกายที่จะต้องมีเพื่อรักษาร่างกายและตัวเราไม่ให้เกิดอันตราย


ลองคิดดูซิครับ หากเราไม่มีปัญญา แล้วก็ไม่มีสัญขาตญาณ หรือกระบวนการที่เรากล่าวถึง ผมว่ากว่าเราจะได้เรียนรู้อะไร เราคงไม่สมประกอบอยู่อย่างนี้เป็นแน่ เช่น เป็นเด็กเดินลุยไฟไป ขาพองไหม้หมด ร่างกายก็พังเสียหาย เกิดอันตรายได้


จากมุมมองนี้ ทุกข์ก็เป็นสิ่งที่สูงขึ้นไปกว่าความรู้สึก คือเป็นเรื่องของจิตใจ ทุกข์ก็มีประโยชน์เช่นเดียวกันในแนวเดียวกัน


ประมาณนี้หรือเปล่าครับ

เป้าหมายสูงสุดของเกษตรกรรม ไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล แต่คือการบ่มเพาะ ความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์.... มาโซโนบุ ฟูกูโอกะ

หากไร้การควบคุมโดยปัญญา..ปัญหาก็จะเกิด..

ปัญญาจะเกิดได้สติต้องมาก่อน..

 

เหมือนคำที่หลวงพี่เคยสอนผมเลย "สติมา ปัญญาเกิด"

สุข คือการทนได้ ทุกข์ คือการทนไม่ได้


เคยได้ฟังคำพูดนี้มาจากท่านวิทยากรท่านหนึ่ง ลองเอามาคิดดูก็คิดว่าน่าจะใช่ มันอยู่ที่จิตเราเอง ซึ่งบางครั้ง บางอย่างผ่านเข้ามาในชีวิตก็ทำใจให้สุขไม่ได้เหมือนกัน แต่ปัญหา บางทีมันก็สามารถทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาได้ด้วย เช่นกัน แต่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากับชีวิต เราต้องมี สติ อยู่เสมอ


ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆค่ะ ขอให้ชีวิตมีความสุขนะค่ะ

Laughingทำวันนี้ให้ดีที่สุด เวลาชีวิตน้อยลงทุกวัน

Coolจินตนาการตามคุณบุญพา ว่ากินข้าวอยู่แรก ๆ กินไป ๆ อร่อยหลายมีความสุข (ทนได้) กินไปเรื่อย ๆ อิ่มแล้ว (เริ่มทนไม่ได้แล้ว) แต่เขาไม่ไห้หยุดกิน คราวนี้แน่นท้อง จุกเสียด (ทน ๆ ต่อ) กินจนจุกชักแหย็ก ๆ (ทนไม่ได้แหงม ๆ)Cry (อันนี้ต้องทุกข์แน่นอน)

เป้าหมายสูงสุดของเกษตรกรรม ไม่ใช่การเพาะปลูกพืชผล แต่คือการบ่มเพาะ ความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์.... มาโซโนบุ ฟูกูโอกะ

จริงค่ะ...การทำอะไรด้วยความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา...การทำอะไรต้องรู้ตัวอยู่เสมอ  หากผิดพลาดหรือพลั้งพลาด  เราก็จะได้ไม่ต้องโทษใคร..เพราะเราทำไปด้วยสติครบถ้วน  และยอมรับผลของการกระทำนั้นๆด้วยตัวของเราเอง 

MSN/MAIL/HI5 : Tongau_oomsin[at]hotmail[dot]com

สมมุตนะครับ...


ผมละสังขารตอนอายุ..เจ็ดสิบปี(ของจริงอาจวันนี้วันพรุ่งมิอาจรู้แจ้ง)


เจ็ดสิบ ลบด้วยเวลานอน หนึ่งในสามของชีวิต..ก็ประมาณ ยี่สิบปี


หักวัยเด้กที่มิอาจรู้อิโหน่อิเหน่อีกสัก สิบปี เราจะเหลือเวลาที่ตื่นอย่างมีสติ ก็ประมาณ สี่สิบปี


ในจำนวนที่เหลือนั้น...ผมยังไม่หักความเจ็บไข้ อกหัก ผิดหวัง กินไม่ได้นอนไม่หลับ สารพัดปัญหา อีกมากมาย


แล้วผมจะมีความสุขอย่างแท้จริงสักกี่ปีกันครับ...


แล้วเราจะรู้ไหมครับ...ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ได้คนละอีกกี่เวลานาที...


วันนี้หละครับ..คือวันที่ดีที่สุด....

เป็นเพียงแค่มดตะนอย ตัวจ้อยจิด  ทีพลัดติดกลางช่อ พอเพียงใหญ่

คือหนึ่งเสียงหนึ่งคิดเห็น ที่เป็นไป อาจถูกใจหรือไม่บ้าง ลองชั่งดู

จะสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจ


การรู้ตัวตลอดเวลาว่าเราทำอะไรอยู่จะได้ไม่พลั้งเผลอ

 

 

msn:lekonshore@hotmail.com

ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร

พระพุทธศาสนาสอนว่าโลกนี้คือทุกข์ ชีวิตเป็นทุกข์ เกิด แก่ เจ็บตาย ไม่ได้ของที่ตนปรารถนาก็เป็นทุกข์ สูญเสียสิ่งที่รักที่ชอบใจก็เป็นทุกข์ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ โดยสรุปพระพุทธศาสนาสอนว่าทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือทุกข์ในขันธ์ห้าคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ


อยู่กับสิ่งที่เรามี ไม่ใช่อยู่กับสิ่งที่เราหวังความสุขก็จะเข้ามาโดยที่เราไม่รู้ตัวเพราะเราไม่เคยมีทุกข์  

จะสุขหรือว่าทุกข์ก็เป็นแค่เพียงความรู้สึก


เราไม่รับรู้มากมาย ก็ไม่..อะไร..เลย


สาธุ

 

หน้า