มรณกรรมที่งดงาม
ช่วงที่ไปปฏิบัติธรรมมาคำถามแรกๆเลยที่เวลาพูดคุยกัน และผมมักจะถูกถามมากที่สุดคือ "มาปฏิบัติธรรมทำไม" ผมจะตอบกลับไปว่า "ซื้อตั๋วรถตายไปชาติหน้า" คุณชัยพงษ์ กิตตินราดร เจ้าของผลงาน Mind's Eye หนังสือรวมภาพถ่ายขาวดำที่ลงสีด้วยมือทั้งเล่ม ท่านเป็นตัวอย่างของการขึ้นขบวนรถตายในแบบที่เรียกได้ว่า "มรณกรรมที่งดงาม"
นับแต่รู้ว่าตนเองป่วยด้วยโรคมะเร็งในโพรงจมูก คุณชัยพงษ์ได้เตรียมจิตใจเพื่อรับกับความตายมาโดยตลอด แม้ว่าการรักษาในช่วงแรกในสายตาของพวกเราและผู้ที่พบเห็น จะรู้สึกว่าอาการของเขาดีขึ้น ในขณะที่คุณพงษ์บอกเสมอมาว่า อาการของเขาแย่ลงทุกวัน เขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
ตลอดเวลาของการรักษาตัว คุณพงษ์ไม่เคยได้นอนติดต่อกันเกินกว่า 1 ชั่วโมงเลย ทุกคืนเขาจะหลับได้ในแต่ละครั้งไม่เกิน 1 ชั่วโมง แล้วจะนั่งต่อไปอีกชั่วโมงกว่า แล้วจึงงีบหลับต่อได้ แม้ในช่วงกลางวันก็เป็นเช่นเดียวกัน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แต่ตลอดเวลาช่วงแห่งความทุกข์ทรมาน เขาไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะปลุกดิฉันในกลางดึก คงรับความเจ็บปวดของตนเองอย่างโดดเดี่ยวและอดทน ไม่เคยทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแสดงความเจ็บป่วย เพียงแต่พูดด้วยหน้าและสายตายิ้มๆว่า เจ็บ ปวด อ่อนแรงมาก กล้ามเนื้อฉีก วันหนึ่งที่โรงพยาบาล ดิฉันถามเขาว่า เขาอยากจะรับมอร์ฟีนหรือไม่ เขาถามดิฉันว่า เขาจะเจ็บปวดอีกมากเพียงใด ดิฉันเคยรู้มาก่อนว่าความเจ็บปวดในระยะสุดท้ายนั้นจะรุนแรงอย่างที่สุด แต่ความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับตลอดเวลาระหว่างรักษาตัวนั้นทำให้ดิฉันบอกเขาไปว่า คงจะไม่ทรมานเท่ากับที่คุณเคยประสบมาก่อน และประกอบกับเขาไม่ต้องการมีสติฟั่นเฟือนเลื่อนลอย เขาจึงปฏิเสธการรับมอร์ฟีน ยอมเผชิญหน้ากับความตายและกำหนดช่วงสุดท้ายของชีวิตด้วยตนเอง
คืนวันที่ 14 กันยายน เวลาประมาณ 3 ทุ่ม เขาบอกดิฉันให้นิมนต์หลวงพ่อมา ดิฉันถามเขาว่ามาเพื่ออะไร เขาบอกว่าเพื่อเสริมบารมี ดิฉันถามต่อไปว่า แล้วต้องการหลวงพ่อสายใด เขาหยุดคิดสักพัก เมื่อดิฉันถามว่าต้องการพระสวดมนต์ให้พร พระช่วยต่ออายุหรือพระปฏิบัติ คุณพงษ์บอกว่าต้องการพระปฏิบัติ
เช้าวันที่ 15 กันยายน ขณะที่ดิฉันอยู่นอกห้องพัก เพื่อนได้วิ่งมาบอกว่า รีบเข้าไปในห้องเร็ว คุณพงษ์พยายามจะดึงสายฉีดยาที่เพิ่มความดันออก เมื่อดิฉันเข้าไปถึง ถามเขาว่ากำลังจะทำอะไร เขาตอบดิฉันซึ่งดิฉันรู้ว่า เขาตอบด้วยความเกรงใจ คุณพงษ์บอกว่า ขอทดลองเอาสายออก ดิฉันตอบเขาไปในทันทีว่า ทำไมไม่ถอดเข็มเลย (การถอดเข็มออกแล้ว จะไม่สามารถหาเส้นเพื่อแทงเข็มใหม่ได้ เพราะเส้นจมไปหมดแล้ว) คุณพงษ์ตอบทันทีว่า ดี ดีแล้ว รอมานานแล้วยื้อยุดกันอยู่ได้ ดิฉันถามต่อไปอีกว่า แล้วยังต้องการสายอ๊อกซิเจนอีกไหม เขาบอกว่าไม่ต้องการ
หลังจากถอดเข็มออกได้เพียงครึ่งชั่วโมง เขาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีก พูดจาในลำคอฟังไม่ได้ศัพท์แต่สติยังดีเยี่ยม ทุกครั้งที่ดิฉันนำเขากล่าวคำว่า นะ โม พุท ธา ยะ ใจสว่าง ใจสะอาด ใจสงบ คุณพงษ์จะรวมรวมพลัง และพูดตามได้อย่างชัดเจน ปลายเท้าเริ่มเย็นและเขียวขึ้นมาเรื่อยๆ ดิฉันคาดว่าเขาคงจะจากไปในคืนวันที่ 15 หรือไม่ก็เช้าวันที่ 16
ในระหว่างวันที่ 15 นั้น ดิฉันได้นำทางทางจิตให้เขาตลอดเวลา มีอยู่ช่วงหนึ่งดิฉันได้อ่านข้อความบางตอนจากหนังสือของอุบาสกเปลี่ยน รักแซ่ ซึ่งเป็นบทสนทนากับท่าน ก. เขาสวนหลวง อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตของอุบาสกเปลี่ยน คุณพงษ์ซึ่งดูเหมือนจะควบคุมร่างกายตนเองไม่ได้ แต่ยังคงมีสติดีเยี่ยม ได้บอกดิฉันด้วยเสียงดังฟังชัดว่า เริ่มต้นใหม่ ตั้งแต่หน้าแรก พออ่านไปได้ครึ่งเล่ม คุณพงษ์ก็บอกว่า พอแล้ว เข้าใจหมดแล้ว
14 วันในโรงพยาบาลเป็นเวลาที่เขาเตรียมจิตใจให้พร้อมกับการจากไป ความสนใจของเขามุ่งไปในการปฏิบัติธรรมอย่างเดียวเพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพาน หรือย่างน้อยคือบรรลุโสดาบัน ทำไมดิฉันจึงกล้าพูดเช่นนี้ เพราะดิฉันสัมผัสได้ถึงความห่วงกังวลของเขาเพียงอย่างเดียวที่เหลือในชีวิต มีอยู่หลายครั้งที่อยู่ที่บ้าน เขาเคยบอกว่า เขาคิดว่าเขาน่าจะบรรลุโสดาบันแล้ว ดิฉันได้แต่บอกว่า ใช่หรือไม่เป็นสิ่งที่เขารู้ได้เพียงคนเดียว
ค่ำคืนของวันที่ 14 กันยายน เขาขอให้ดิฉันและทุกคนอยู่ในความเงียบ ไม่ต้องการแม้เสียงสวดมนต์ เขาบอกว่าจะพยายามปฏิบัติเพื่อให้บรรลุโสดาบัน ดิฉันย้อนถามเขาไปว่า ที่ผ่านมายังไม่บรรลุหรือ เขาบอกว่าที่ผ่านมายังไม่ใช่ โอ! สติและสมาธิดีเยี่ยมเพียงนี้ รับรู้ถึงสิ่งที่ละเอียดที่สุดในจิตใจด้วยความเที่ยงธรรม แม้ในยามที่ร่างกายอ่อนแรงเต็มที แต่กลับมีหัวใจที่กล้าแกร่งจริงๆ ดวงตานั้นเจิดจรัสขึ้นทุกวันๆ นับแต่รู้ตัวว่าตนเองป่วย ตาดำเป็นประกาย ไม่มีร่องรอยของต้อลมที่เคยมี มีแต่ความใส แม้ในยามที่หมอมาส่องดูดวงตาเพื่อยืนยันการเสียชีวิต ดวงตาทั้งคู่ก็ยังคงใสแจ๋ว เพียงแต่ไม่ตอบสนองเท่านั้น
ท่านมหาสิทธิชัย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์วราราม ได้มาพบคุณพงษ์ในคืนวันที่ 15 กันยายน ท่านพูดว่า ท่านเคยส่งวิญญาณของผู้ใกล้ตายหลายคน ยังไม่เคยพบจิตใจใครแข็งแกร่งเท่าคุณพงษ์มาก่อนเลย ท่านบอกคุณพงษ์ว่า ใจเย็นๆ ยังไม่ถึงเวลา ไม่ต้องเร่งรีบ เมื่อท่านสวดมนต์ให้พรเสร็จ ดิฉันกล่าวคำว่า สาธุ คุณพงษ์ก็กล่าวตามทันที และยังบอกอีกว่าเขายังมีปัญหาที่การขับถ่าย หลังจากที่ท่านกลับไปประมาณ 3 ทุ่ม คุณพงษ์ก็ลืมตาตื่นขึ้น พร้อมกับพูดว่าผ่านประสบการณ์เฉียดตาย ความร้อนในตัวเริ่มกลับมา แล้วขอให้พวกเราช่วยยกตัวเขาให้ยืนขึ้น ทันทีที่ยืน เขาก็ขับถ่ายออกมาจนหมดเป็นครั้งสุดท้าย หลายคนมาลาเขากลับบ้าน เขายังแซวว่าคนนี้พูดดัง คนนั้นพูดค่อย บางคนมาถามว่าจำเขาได้ไหม คุณพงษ์ตอบทันทีว่าจำได้ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ
หลังจากที่ทุกคนลาจาก ไปในคืนวันที่ 15 กันยายน ดิฉันยังคงนั่งข้างเตียงเขา ถามเขาว่ายังเจ็บอีกไหม คำพูดสุดท้ายที่คุยกับดิฉันคือ ไม่เจ็บแล้ว คุณพงษ์หลับสนิทหลังเที่ยงคืน พวกเราวางใจและคิดว่า เขาคงผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาจริงๆ หมายความว่าเวลานี้รอดแล้ว
เช้าวันที่ 16 กันยายน คุณพงษ์ยังคงหลับต่อไป ดิฉันขอให้พยาบาลวัดแรงดันและระดับอ๊อกซิเจนในร่างกาย ทุกอย่างดูอยู่ในภาวะปกติแม้จะไม่มีเครื่องมือช่วยก็ตาม จนถึงเวลาประมาณบ่ายสองโมง หลังจากป้อนน้ำ ป้อนนมให้ ในความเงียบสงัดนั้นมีแต่เสียงแอร์ ดิฉันเริ่มเปิดซีดีเสียงสวดมนต์คาถาชินบัญชร 9 จบ และต่อท้ายด้วย บทสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ทันทีที่คาถาชินบัญชรเริ่มสวดชุดที่ 2 ดิฉันก็หลับสนิท หัวฟุบอยู่บนข้างเตียง ในขณะที่มือข้างหนึ่งได้จับข้อศอกซ้ายของคุณพงษ์ไว้ เมื่อลืมตาตื่นขึ้น ไม่มีเสียงเทปแล้ว คุณพงษ์หันหน้ามาทางดิฉัน ตาปิดสนิท ไม่หายใจ เขาเพิ่งจากไปก่อนดิฉันจะตื่นเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น เขาไม่ต้องการให้ดิฉันตื่นตกใจต่อการได้เห็นการจาก เพราะเช้าวันที่ 16 ดิฉันยังพูดกับคุณปุ๋ยซึ่งมาเยี่ยมเวลาเช้าว่า คุณพงษ์ผ่านจุดอันตรายแล้ว แล้วยังพูดแซวเล่นกับคุณพงษ์ซึ่งยังหลับอยู่ว่า เมื่อวานเราทำใจแล้ว อย่าทำให้ตกใจนะ เขาเพิ่งจากไปจริงๆ เนื้อตัวยังอุ่น เหงื่อยังออกที่ฝ่ามือ มีเพียงปากและปลายจมูกเท่านั้นที่เย็น
กระดูกของคุณพงษ์เป็นสีขาว บางชิ้นใส และมีสีส้มคล้ายฟองอากาศแทรกอยู่ ดิฉันและลูกได้ไปคืนอัฐิธาตุของเขาทั้งหมดกลับสู่ท้องทะเล ณ หาดบ้านกรูด ประจวบคีรีขันธ์ หน้าพระประธานองค์ใหญ่ชื่อว่า พระกิติภักดีประกาศ พระวิหารภักดีประกาศ
มรณกรรมที่งดงาม คัดบางส่วนมาจากเว็บ bwfoto.net คลิ๊กลิ้งค์เพื่ออ่านฉบับเต็ม
- บล็อกของ ลุงพี
- อ่าน 6628 ครั้ง
ความเห็น
จันทร์เจ้า
24 กันยายน, 2010 - 14:10
Permalink
เศร้าอ่ะ
เรื่องจริงใช่มั้ยคะ จิตใจเข้มแข็ง ทั้งคู่เลย
พอเพียง และ เพียงพอ บ้านไร่จันทร์เจ้า
ลุงพี
24 กันยายน, 2010 - 14:14
Permalink
เรื่องจริงครับ คุณจันทร์เจ้า
บันทึกโดยภรรยาของคุณพงษ์ แต่ผมอ่านแล้วจิตใจฮึกเหิมดีจัง
พอกิน พอใช้ พอใจ คือความหมายของ พอเพียง
เจ้โส
24 กันยายน, 2010 - 14:16
Permalink
ขอบคุณลุงพี
พูดเล่น ๆ กันว่า เอะ !!! เราหันหน้าเข้าวัดเข้าวากันเร็วเกินไปหรือเปล่า .... แต่เจ้คิดว่าทำไมเราไม่คิดหาหนทางปฏิบัติธรรมซะตั้งนานแล้ว เพิ่งจะมานึกได้ แต่ไม่เป็นไรต่อแต่นี้ไปจะพยายามให้ถึงที่สุด
garden_art1139@hotmail.com
pomcob
24 กันยายน, 2010 - 14:17
Permalink
....
อ่านแล้ว
เศร้าดี จริงๆคับ
ยายอิ๊ด
24 กันยายน, 2010 - 14:27
Permalink
อืม
ลุงพี อ่านแล้ว ยายอิ๊ดไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้งๆที่ ตัวเองก้็เผชิญอยู่กับสิ่งนั้น แต่ทำไม มันว่างเหลือนเกิน จิตใจทำไมมันว่างเปล่า
#แตกต่าง.แต่.ไม่แตกแยก#
witlessness
24 กันยายน, 2010 - 14:38
Permalink
ดีจัง ลุงพี
ผมว่าใครสามารถมรณกรรม ได้อย่างคุณพงษ์นี่สุดยอดเลย ลุงพีว่ามั้ย
lekonshore
24 กันยายน, 2010 - 14:40
Permalink
เศร้าจัง อนิจจาชีวิตมนุษย์
เศร้าจัง อนิจจาชีวิตมนุษย์
msn:lekonshore@hotmail.com
ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก จงมีความสุข สนุกกับชีวิต อย่ามัวคิดอิจฉาใคร
นงคราญ วชิรา
24 กันยายน, 2010 - 15:40
Permalink
ลุงพี
ขอบคุณที่แบ่งปันสิ่งดีๆค่ะ....นึกถึงคำพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต ชัยภูมิท่านว่า...ระรึกถึงความตายสบายใจนัก
ไม่ประมาท...และตายก่อนตาย จากพระอาจารย์พุทธทาส (ตายจากกิเลศ) ก่อนตายจริง
แดง อุบล
24 กันยายน, 2010 - 15:51
Permalink
ลุงพี
ขอบคุณจริง ๆ ค่ะลุงพี ขอบคุณมากค่ะ
"เชื่อในผล แห่งการทำความดี"
ตั้ม
24 กันยายน, 2010 - 16:04
Permalink
เคยอยู่ใกล้ชิด..กับ..
อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้คิดถึงพี่สาวที่จากไปด้วยมะเร็งลำไส้เมื่อประมาณเจ็ดปีที่แล้ว..เค้ามาพักรักษาตัวที่บ้านผมเนื่องจากใกล้ศิริราชและมีผมคอยดูแลให้ได้..เห็นถึงความทุกข์ทรมานอันเนื่องจากความเจ็บปวดแม้มอร์ฟิลยังเอาไม่อยู่..นอนไม่ได้ต้องทำเก้าอี้ให้นั่งหลับ..น้ำหนักที่ลดฮวบฮาบเหมือนเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบ..สงสารพี่สาว..แต่สงสารแม่มากกว่าที่เจ็บปวดใจเห็นลูกสาวต้องทุกข์ทรมานแต่ช่วยอะไรไม่ได้..ซ้ำกลับทำให้คิดว่าทำไมต้องอยู่เห็นลูกตายก่อน..
ความเป็นจริงของสังขารที่สัมผัสได้จากทุกข์ทางกายของคนใกล้ตาย..เราซึ่งมองเห็นและรับรู้อย่างใกล้ชิด..ทำให้เกิดการปลงและหยุดทะยานอยาก..มนุษย์เราก็เท่านี้..วันหนึ่ง..เราก็อาจสัมผัสกับมันเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะวันไหน..แล้วจะโลภ..จะยึดติดไปทำไม..
แสวงหาชีวิตที่สงบ..หลบลี้หนีความวุ่นวาย
หน้า